KTB - ขาย

KTB - ขาย

การสำรองหนี้ของ THAI กดดัน กำไรของธนาคาร

Event

ประชุมนักวิเคราะห์ 1Q63

lmpact

กำลังพิจารณาเลื่อนแผนลงทุน

หลังจากที่ KTB ระงับแผนลงทุน 2 หมื่นล้านบาทเพื่อพัฒนาช่องทางดิจิตอลไปตั้งแต่ปี 2562 ผู้บริหารของ KTB บอกว่าธนาคารกำลังทบทวนแผน CAPEX และกำลังพิจารณาเลื่อนแผนการลงทุนออกไปก่อน โดยเฉพาะแผนที่ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป และเพื่อจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน เรามองว่าสาเหตุของการเลื่อนแผนลงทุนอาจจะเพื่อเป็นการบริหารจัดการผลประกอบการในช่วงที่ต้องมีการตั้งสำรองสูง

การกันสำรองสินเชื่อของ THAI จะเป็นความเสี่ยงต่อผลประกอบการ

KTB ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Thai Airways (THAI) ในแง่ของยอดสินเชื่อประเภทของหลักทรัพย์ค้ำประกัน และการรับประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ เนื่องจาก THAI กำลังอยู่ระหว่างการยื่นล้มละลาย ถูกปรับลดอันดับเครดิต (credit rating) และเปลี่ยนสถานภาพเป็นบริษัทที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ
ดังนั้น ตามมาตรฐานบัญชี THAI จึงถูกนับเป็น NPL และธนาคารจะต้องกันสำรองเต็มจำนวน ทั้งนี้ ผู้บริหารบอกเพียงว่าธนาคารกำลังติดตามกรณีของ THAI อย่างใกล้ชิด และมีการกันสำรองไปบางส่วนแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อมูลจำกัด เราจึงมองว่าการกันสำรองกรณีของ THAI ทำให้มีความเสี่ยงที่ KTB ต้องกันสำรองในจำนวนที่สูงเหมือนกับที่เคยต้องกันสำรองกรณีของ EARTH เมื่อปี 2560 ซั่งทำให้ค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 200bps

…และจะทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองฯ(credit cost) เพิ่มเป็น 200bps (จาก 150bps)

เนื่องจาก THAI เป็นรัฐวิสาหกิจ เราจึงคาดว่าเงินกู้ส่วนใหญ่จะมาจากธนาคารรัฐสองแห่ง (ออมสินและKTB) ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงในการที่ KTB ต้องกันสำรองเพิ่ม เราจึงปรับสมมมติฐาน credit cost ของ KTB เป็น 200bps (จากเดิมที่ 150bps) ในปี 2563 แต่คงสมมติฐานปี 2564 เอาไว้ที่ 140bps เท่าเดิม

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/64 ลง 41%/8% ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2563F ลงเหลือ 12 บาท และปรับลดคำแนะนำจาก ถือ เป็น ขาย

สาเหตุหลักของการปรับประมาณการของเราก็เพื่อสะท้อนสมมติฐาน credit cost ที่เพิ่มขึ้นเป็น 200bps(จากเดิมที่ 150bps) ในปี 2563 ในขณะที่การระงับแผนลงทุนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นแค่ 2% ในปี 2563 ส่งผลให้สัดส่วนต้นทุน/รายได้ทรงตัวอยู่ที่ 48% ทั้งนี้ เมื่อใช้ P/E ที่ 13.5x ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายปี 2563F ที่ 12 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 17 บาท) เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก ถือ เป็น ขาย

Risks

NPL เพิ่มขึ้นทำให้ต้องกันสำรองเพิ่ม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้