เส้นทางเงิน 'แม่ปุ๊ก' กองปราบฯ พบไม่สอดคล้องค่ารักษาพยาบาล

เส้นทางเงิน 'แม่ปุ๊ก' กองปราบฯ พบไม่สอดคล้องค่ารักษาพยาบาล

กองปราบฯ แถลงคดี “แม่ปุ๊ก” ข้อมูลแพทย์ระบุชัด โรคประหลาดคำกล่าวอ้างไม่มีจริง สอบเส้นทางการเงินบัญชีรับบริจาคไม่สอดคล้องค่ารักษาพยาบาล พบอ้างตัวจบเภสัชกร แม่แท้ๆ “น้อง อ” ยอมยกลูกให้หวังอนาคตจะดีกว่า 

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป.พร้อมด้วย พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา รอง ผกก.4 บก.ป.และ พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.4 บก.ป.ร่วมแถลงชี้แจงกรณีตำรวจ กก.4 บก.ป.จับกุม น.ส.นิษฐา (สงวนนามสกุล) หรือ "แม่ปุ๊ก" ในข้อหา “รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ฉ้อโกงประชาชน” ที่ก่อเหตุหลอกลวงชาวเน็ตให้สั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊กโดยอ้างว่าต้องการนำเงินไปรักษา "น้อง อ " อายุ 4 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาดก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 2562

ต่อมา แม่ปุ๊กอ้างว่า "น้อง อ" อายุ 2 ขวบ น้องชายคนเล็กได้ป่วยแบบเดียวกันกับ "น้อง อ" ที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ ด้วยโรคปริศนา แต่เมื่อแพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้วพบพิรุธว่า เด็กอาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่ตัวแม่ปุ๊กกลับได้เงินช่วยเหลือไปร่วม 20 ล้านบาท

พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ กล่าวว่า คดีนี้ในส่วนของกองปราบ เริ่มจากกรณีที่แม่เอม ซึ่งเป็นแม่จริงๆ ของ "น้อง อ " ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดนหมายเรียกในคดีที่หลอกขายสินค้าออนไลน์ เจ้าตัวจึงเข้ามาชี้แจงว่าถูกแม่ปุ๊ก นำเอกสารส่วนตัวไปใช้เปิดบัญชีโดยอ้างว่าจะนำไปทำประกันสุขภาพให้ลูกๆ ตัวเองจึงหลงเชื่อ

ต่อมาตำรวจได้สืบสวนเส้นทางการเงินจนพบว่าบัญชีในชื่อแม่เอม เกี่ยวข้องกับการรับบริจาคเงินให้ "น้อง อ" และ "น้อง อ " เมื่อขยายผลพบว่ามีผู้เสียหายสั่งซื้อของกับแม่ปุ๊กแล้วไม่ได้รับสินค้าจำนวนมากได้โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับจนกลายเป็นที่มาของการจับกุมครั้งนี้

เงินที่หมุนเวียนในบัญชีดังกล่าวรวม 5 ฉบับ เป็นชื่อของแม่เอม 3 ฉบับ ที่แม่ปุ๊กไปเปิดบัญชีเอง และเป็นบัญชีของแม่ปุ๊ก 2 ฉบับ รวมยอดเงินกว่า 15-20 ล้านบาท แต่ยังไม่พบหลักฐานเงินบริจาคว่าเชื่อมโยงไปถึงแม่เอม

อาการเจ็บป่วยของเด็กซึ่งมีร่องรอยแผลไหม้ที่ปากนั้น ชัดเจนว่าเป็นการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานเข้าไป ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมตามคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา

ด้านพ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลทางการแพทย์ ระบุว่า โรคประหลาดที่แม่ปุ๊กอ้างว่าลูกทั้งสองนั้นป่วยไม่มีอยู่จริง ส่วนอาการเจ็บป่วยของเด็กซึ่งมีร่องรอยแผลไหม้ที่ปากนั้น ชัดเจนว่าเป็นการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานเข้าไป ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมตามคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา ซึ่งแพทย์ยืนยันข้อเท็จจริงมาแล้ว

โดยในวันที่จับกุมผู้ต้องหา ตำรวจได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านและพบสารเคมีเป็นของเหลวต้องสงสัยบางอย่างซึ่งกำลังส่งตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสารที่ออกฤทธิ์ตรงกับที่แพทย์ให้ข้อมูลเรื่องอาการของเด็กหรือไม่

พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ กล่าวต่อ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย แต่ยืนยันว่าตำรวจมีหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดจริง และหากมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ว่า น.ส.นิษฐา เคยเรียนเภสัชกรซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการนำสารเคมีมาใช้หรือไม่ก็นับเป็นข้อมูลสำคัญที่กำลังสืบสวนอยู่

ทั้งนี้พบว่ายอดเงินบริจาคที่ได้รับไม่สอดคล้องกับค่ารักษาอาการเด็กอย่างมีนัยสำคัญ แต่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะอาจมีการใช้สิทธิ์เบิกประกันอย่างไรหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีการอธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับการที่แม่เอม ยกน้องอมยิ้มให้แม่ปุ๊กรับไปดูแลนั้น เพราะเจ้าตัวไม่พร้อมจะมีบุตร โดยไปรู้จักกันผ่านโซเชียลเท่านั้น ซึ่งแม่ปุ๊กอ้างว่าจบเภสัชกร แม่เอมจึงเชื่อว่าเด็กจะมีอนาคตที่ดีกว่า

ทั้งนี้ ฝากว่า การมีบุตรในสภาพไม่พร้อมนั้น ยังมีหน่วยงานรัฐที่พร้อมให้การช่วยเหลือ การนำบุตรไปยกให้คนอื่นเองอาจไม่ปลอดภัยต่อสวัสดิภาพของเด็กอย่างที่ควรจะเป็นและกลายเป็นบ่อเกิดปัญหาสังคม

ขอเตือนด้วยว่า การให้เอกสารส่วนตัวกับคนอื่นนั้นไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ และฝากประชาชนที่ได้รู้เห็นพฤติกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้องอิ่มบุญน้องอมยิ้ม ขอให้ติดต่อ กก.4 บก.ป.เพื่อให้ข้อมูลประกอบการทำคดีต่อไป