สำรวจรายได้ Q1 ‘ค้าปลีก-ห้างไทย’ ในวิกฤติโควิด-19
สำรวจรายได้ธุรกิจ "ค้าปลีก ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า" ไตรมาส 1 ปี 2563 จะเป็นอย่างไร? เมื่อต้องเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด-19 กลุ่มสินค้าใดจะเติบโตสวนทางหรือลดฮวบเกินต้านวิกฤติครั้งนี้?
“ค้าปลีกไทย” ช่วงไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก เช่นเดียวกับเซ็กเตอร์ธุรกิจอื่นๆ ที่ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโรคโควิด-19
ผลกระทบที่ว่านี้มาจากการที่รัฐบาลออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ด้วยการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ที่มีการออกมาตรการเคอร์ฟิว จำกัดการออกนอกเคหะสถาน ตั้งแต่ 22.00-04.00 น. ที่สำคัญการปิดสถานที่เสี่ยงและที่มีผู้คนแออัดต่างๆ อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้า ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบการบางแห่งต้องปิดดำเนินการเป็นการชั่วคราว หรือเปิดให้บริการในชั่วโมงที่ลดลง แน่นอนว่ากระทบกับรายได้และผลประกอบการโดยตรง
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ได้สำรวจและรวบรวมผลประกอบการ รวมถึงกำไรขาดทุนของห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต Q1/2563 หลักๆ ไว้ดังนี้
- CPALL
สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น คือ ร้านสะดวกซื้อที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง อย่าง "เซเว่น อีเลฟเว่น" ต้องลดเวลาการให้บริการลงไปราว 6 ชั่วโมงต่อวัน ในทุกสาขาทั่วประเทศ คือเปิดตั้งแต่ 04.00 น. ไปจนถึง 22.00 น. ซึ่งหลายคนอาจมองว่า สถานการณ์นี้จะเป็นปัจจัยลบต่อผลประกอบการของ CPALL ที่มีธุรกิจหลักอย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น อย่างแน่นอน
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ CPALL หรือบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ที่มีธุรกิจในเครือหลักๆ อย่าง "เซเว่น อีเลฟเว่น" รวมถึงธุรกิจค้าส่งอย่าง "แมคโคร" หรือบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2563 ต่อตลาดหลักทรัพย์ ไว้ว่า ช่วง 3 เดือนแรกบริษัท มีรายได้รวมทั้งหมด 145,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันปี 2562 ที่มีรายได้รวม 138,896 ล้านบาท อยู่ราวๆ 6,959 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.2%
ซึ่งชี้แจงว่า สัดส่วนรายได้มาจาก 2 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อและธุรกิจอื่นๆ ราว 64% และอีก 36% มาจากธุรกิจค้าส่ง ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบทางลบต่อบริษัทและบริษัทย่อยของ CPALL ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมโรคจากรัฐบาล
หากแยกรายได้ตามประเภทสินค้า จะพบว่า สินค้ากลุ่มอาหารมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง และสูงกว่าสินค้าอุปโภค ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมทาน อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มสินค้าดูแลสุขภาพ ยารักษาโรค และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
ขณะที่ค่าใช้จ่ายทั้งการจัดจำหน่ายและการบริหารอยู่ที่ 27,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายจากการขยายสาขาอย่างร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้มีการเปิดสาขาใหม่ 271 สาขาในทุกประเภท ทำให้ภาพรวม CPALL มีร้านสะดวกซื้อรวมทั้งหมดกว่า 11,983 สาขา และการบริหารจัดการร้านจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากส่วนของแมคโคร เพราะมีการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจในระยะเริ่มต้นที่จีนและเมียนมา
หากดูในแง่ของกำไรสุทธิ พบว่า Q1/2563 CPALL มีกำไรสุทธิราว 5,645 ล้านบาท ลดลงไป 2.15% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 5,769 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อเติบโตในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก TFRS16
- BJC
ฟาก BJC หรือบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทย่อยอย่าง บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก "บิ๊กซี" และธุรกิจอื่นๆ ก็ได้รายงานคำอธิบายและบทวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ในประเด็นของผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่งพบว่า มีรายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดย Q1/2563 มีรายได้ 42,328 ล้านบาท เติบโต 0.2%
แยกเป็นรายได้จากกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกราวๆ 26,970 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อน 0.3% รองลงมาเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 5,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนมากที่สุดราว 18% เช่น ทิชชู่ เครื่องใช้ส่วนตัว กระดาษเปียก แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น แต่กลุ่มธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มขนม จะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงและระมัดระวังการใช้จ่าย
ตามด้วยกลุ่มสินค้าทางเวชภัณฑ์ ที่มียอดคำสั่งซื้อสินค้า ทั้งยา อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ส่วนกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1 มีกำไร 1,444 ล้านบาท ลดลงไป 12.5% หรือราว 206 ล้านบาท
- CRC
ขณะที่อาณาจักร CRC หรือบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีธุรกิจทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทั้งกลุ่มแฟชั่น ฮาร์ดไลน์ และฟู้ด เช่น ท็อปส์ มาร์เก็ต, โรบินสัน, ไทวัสดุ เป็นต้น ได้รายงานผลประกอบการภาพรวมช่วงไตรมาสแรก 2563 มีรายได้ราว 54,285 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 890 ล้านบาท ลงฮวบลงไปกว่า 63% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์และอื่นๆ ที่ทำให้ศูนย์การค้าต้องปิดให้บริการอย่างกะทันหันนั่นเอง
แต่ในช่วงเวลานี้ CRC ยังเน้นย้ำความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์ม Customer-Centric Omni-channel หรือกลยุทธ์การเชื่อมต่อช่องทางต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ช่องทางนี้มีการเติบโตสูงถึง 93% กลุ่มที่ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ก็คือ ธุรกิจฟู้ดเติบโตขึ้น 4% ทั้งในไทยและเวียดนาม
เช่นเดียวกับกลุ่มฮาร์ดไลน์ ที่มีการเติบโตราว 32% เช่น กลุ่มอุปกรณ์ก่อสร้างหรือต่อเติมบ้านแบบ DIY ซึ่งในส่วนธุรกิจนี้ CRC ก็มีกลยุทธ์ขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ ท็อปส์ และไทวัสดุ รวมไปถึงการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ แบรนด์ GO! อีกหนึ่งสาขาที่เวียดนาม แต่สำหรับกลุ่มแฟชั่นได้รับผลกกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รายได้ในส่วนนี้ลดลง 3,500 ล้านบาท
- MBK
ขณะที่ “MBK” หรือบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจเช่น MBK Center (ศูนย์การค้ามาบุญครอง) ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ฯลฯ และยังเข้าไปถือหุ้นในกลุ่มบริษัทอื่นๆ เช่น กลุ่มของสยามพิวรรธน์ ผลประกอบการของ เอ็ม บี เค ช่วงไตรมาส 1 มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 2,528 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 7% โดยเฉพาะในส่วนของศูนย์การค้า มีรายได้ราว 835 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ประมาณ 15% หรือลดลงไป 145 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบจากมติของ ศบค.ที่ให้ปิดสถานที่เสี่ยงชั่วคราว ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 ทำให้ต้องปิดสถานประกอบการเป็นการชั่วคราว รวมถึงทางศูนย์การค้าได้ยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าตลอดระยะเวลาที่ปิดดำเนินการด้วย
หากถามว่า อนาคตข้างหน้าทิศทางค้าปลีกไทยจะเป็นอย่างไร “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้คาดการณ์ทิศทางค้าปลีกไทย ไว้ว่า ภาพรวมการเติบโตในปี 2563 จะหดตัวประมาณ 5-8% หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในครึ่งปีแรก และไม่เกิดการระบาดใหม่รอบ 2 และอาจเห็นภาพการปรับรูปแบบการทำธุรกิจค้าปลีก ทั้งนี้สร้างมาตรฐานทางด้านความสะอาดและความปลอดภัยต่อสุขภาพ รวมถึงการรุกตลาดออนไลน์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภค
ส่วนค้าปลีกที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์และของ ตกแต่งบ้าน จะกลับมาฟื้นตัวได้ช้ากว่าค้าปลีกที่ขายสินค้าจำเป็นอุปโภคบริโภค เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ของโมเดิร์นเทรด ผู้ผลิตสินค้า และ Social Commerce
ที่มา : bangkokbiznews, kasikornresearch, cpall, bjc, centralretail, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย