ผันผวนบริเวณ 1300-1328 จุด เน้นเลือกรายตัว และไม่ไล่ราคา

ผันผวนบริเวณ 1300-1328 จุด เน้นเลือกรายตัว และไม่ไล่ราคา

ความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีนเพิ่มสูงขึ้น

จากการตอบโต้ที่เกิดขึ้น ได้แก่ 1) รัฐสภาสหรัฐฯ ออกกฎหมายตรวจสอบความโปร่งใสของบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ 2) ประธานาธิปดีทรัมป์ กล่าวหาประธานาธิปดีสีจิ้นผิด จงใจแพร่ไวรัสโคโรนา 3) การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน อาจมีการพิจารณากฎหมายความมั่นคงเพื่อจัดการกับผู้ประท้วงในฮ่องกง ซึ่งสหรัฐฯ ขู่จะตอบโต้จีนอย่างรุนแรงหากมีการผ่านกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้สถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่า ส่งผลลบระยะสั้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามสภาพคล่องที่ยังอยู่ในระดับสูงทำให้ความเสี่ยงทางลงในระยะสั้นยังดูจำกัด

คาดต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือนและเป็นรอบสุดท้าย สมช. มีมติเสนอ ศบค.ต่ออายุการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน เป็นปัจจัยลบช่วงสั้นต่อการกลับมาเปิดธุรกิจ อย่างไรก็ตามอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่นายกรัฐมนตรีขอต่อครม.มีอายุ 3 เดือน ทำให้คาดว่าถึงจะมีการต่อไปอีก 1 เดือน แต่จะไม่มีการเสนอต่อหลังสิ้นมิ.ย. หากสถานการณ์ไม่ได้กลับมาเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนัก

สินเชื่อเม.ย.เติบโตดี ถึงแม้เผชิญกับสถานการณ์ระบาดของโควิด แต่กลุ่มธนาคารมีแนวโน้มสินเชื่อเม.ย.เติบโตดีที่ 1.8% MoM และ 5.9% YoY และเติบโตเป็นส่วนใหญ่ โดยเงินฝากและการกู้ยืมในช่วง 4 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 1.3% และ 8.2% จากความต้องการสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นโดยธนาคารใหญ่ที่มีสินเชื่อเติบโตดี (YTD) ได้แก่ BBL (4.6%), KKP (6.8%), BAY (4.2%), SCB (1.5%) ทำให้มีโอกาสถูกเก็งกำไรในฐานะหุ้นที่ยังขึ้นน้อย (Laggard play) ได้ แต่ควรกำหนดจุดตัดขาดทุนทุกครั้งจากความเสี่ยงเรื่องของหนี้เสียที่อาจเพิ่มขึ้น สำหรับ KTB (8.3%) แม้เติบโตสูง แต่ความความเสี่ยงการตั้งสำรองหนี้เสียการบินไทย และความเสี่ยงจากการที่อาจต้องปล่อยกู้เพิ่มเติมให้แก่การบินไทย จะทำให้หุ้นเคลื่อนไหวแย่กว่ากลุ่มในระยะสั้น

เลือกเก็งกำไรรายตัว โดยประเด็นที่น่าสนใจได้แก่ 1) กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ดี ได้แก่ IVL, SCC, STA, TIP, VRANDA 2) หุ้นกำไรมั่นคง (defensive) GPSC, BCPG, RATCH, BCH, CHG, SSP, SUPER 3) กลุ่มประกันภัย TIP และ THRE 4) กลุ่มการเงินที่ยังไม่แพง BFIT, AMANAH โดยการเก็งกำไรในกรอบ 1300-1400 จุด ควรคุมความเสี่ยงด้วยการตั้งขาดทุนทุกครั้ง

ภาพรวมกลยุทธ์ SET Index สร้างฐานบริเวณ 1300-13228 จุด แม้ระดับปัจจุบันจะซื้อขายด้วย Valuation ปี 2563 ที่ดูตึงตัว แต่ด้วยสภาพคล่องในระบบที่สูงมากและมีอัพไซด์เมื่อมองไปยัง Valuation ปี 2564 ทำให้ตลาดยังมีโอกาสไซด์เวย์ขึ้นในระยะสั้นหากไม่มีปัจจัยลบที่ชัดเจนเข้ามา  // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร  CPF*, SSP*, BFIT*

แนวรับ 1,308 / แนวต้าน : 1,328-1,358 จุด สัดส่วน : เงินสด 70% : พอร์ตหุ้น 30%

 

ประเด็นการลงทุน

BOJ จัดประชุมฉุกเฉินวันนี้ – แบงก์ชาติญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มประชุมฉุกเฉินวันนี้เพื่อหารือมาตรการอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง-เล็กที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต Covid-19

วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างตรวจสอบบริษัทจีน – วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายมุ่งตรวจสอบบรษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หวังป้องกันการควบคุมจากรัฐบาลต่างชาติ

จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ สูงกว่าคาด – กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ 2.44 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.40 ล้านราย

แบงก์เดินหน้าลดดอกเบี้บเงินกู้ – ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง SCB KBANK KTB BAY เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงทั้ง MOR MRR และ MLR ระหว่าง 0.125-0.38% หลังแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 0.50%

 

ประเด็นติดตาม: 22 พ.ค. – EU PMI, 26 พ.ค. – US consumer confidence, 27 พ.ค. – TH Industrial production, 28 พ.ค. – US GDP 1Q20

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)