วิตกเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ

วิตกเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ ฉุดดาวโจนส์ปิดลบ

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี (21พ.ค.) ปรับตัวลงท่ามกลางความสัมพันธ์ตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนที่ทำให้บรรดานักลงทุนวิตกกังวลว่าจะนำไปสู่การทำสงครามการค้าของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 0.41% ปิดที่ 24,474.12 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 ร่วง 0.78% ปิดที่ 2,948.51 จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 0.97% ปิดที่ 9,284.88จุด

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจ และตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

วุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ในการอนุมัติร่างกฎหมายซึ่งอาจทำให้บริษัทสัญชาติจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐถูกถอดออกจากตลาด นอกจากนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอาจทำให้บริษัทจีนจำนวนมากไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ หรือระดมเงินทุนจากนักลงทุนชาวอเมริกันได้ในอนาคต

ข่าวดังกล่าวทำให้บริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เช่น อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง, ไป่ตู้ อิงค์ และเจดี.คอม ต่างดิ่งลงในวันนี้ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ

ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 2.44 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.40 ล้านราย

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าว บ่งชี้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ชาวอเมริกันตกงานสูงถึง 38.6 ล้านรายนับตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.

อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่มีการรายงานในวันนี้ถือว่าต่ำที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว และมีการชะลอตัวติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 นับตั้งแต่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 มี.ค.

สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 พ.ค. เพิ่มขึ้น 2.52 ล้านราย สู่ระดับ 25.07 ล้านราย

ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ พุ่งขึ้น 2.3 ล้านราย และดีดตัวเหนือระดับ 22 ล้านราย