สัมพันธ์ ‘สหรัฐ-จีน’ บนเดิมพันเลือกตั้งประธานาธิบดี

สัมพันธ์ ‘สหรัฐ-จีน’ บนเดิมพันเลือกตั้งประธานาธิบดี

จับตาความสัมพันธ์ "สหรัฐ-จีน" ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร กับความเคลื่อนไหวของโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตาว่าจะเกิดสงครามการค้าครั้งที่ 2 หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาสงครามการค้าระลอกสองเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นบ้างแล้ว

ความสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐ กลับมาอยู่ในความสนใจของสื่อกระแสหลักอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เปรยกับผู้สื่อข่าวของฟ็อกซ์ บิสสิเนส เน็ตเวิร์ค เมื่อเร็วๆ นี้ว่า “ผมไม่อยากคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในช่วงนี้ เพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราขาดสะบั้นลง อย่าให้ผมต้องคุยกับประธานาธิบดีสีตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้น คงได้มีการตัดความสัมพันธ์กันแน่”

คำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐ สะท้อนถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ โดยเฉพาะในเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งทรัมป์ปักใจเชื่อว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่หลุดออกมาจากห้องทดลองแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่นของจีน และจีนไม่ได้แสดงความรับผิดชอบอย่างเพียงพอในการป้องกัน จนทำให้ไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วโลก

สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเดินหน้านโยบายขายฝันที่ทรัมป์ได้รับปากกับชาวอเมริกันไว้ว่า เขาจะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หากเขาได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 2 ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือน พ.ย.ปีนี้ ล่าสุด วุฒิสภาสหรัฐ ได้ผ่านร่างกฎหมาย ที่อาจนำไปสู่การควบคุมจำกัดบริษัทจีน ที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ โดยเพิ่มข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการตรวจสอบบริษัทเหล่านั้น

159008532819

ร่างกฎหมายที่เสนอโดยจอห์น เคนเนดี้ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน กำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐ ต้องรับรองให้ได้ว่าไม่ได้ถูกควบคุม หรือบริหารโดยรัฐบาลต่างชาติ และหากผู้ตรวจสอบของสหรัฐ ไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบริษัทเหล่านั้นได้เป็นเวลาสามปีติดต่อกัน บริษัทดังกล่าวจะถูกห้ามซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายใหม่นี้จะมีผลบังคับกับบริษัทต่างชาติทุกแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ก็ถูกมองว่าพุ่งเป้าไปที่บริษัทจีน และเป็นความพยายามของรัฐสภาอเมริกันที่ต้องการจำกัดการลงทุนของจีนในสหรัฐ

คนทั่วโลกต่างรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ของสหรัฐและจีนไม่ได้อยู่ในสถานะของมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร โดยเมื่อครั้งที่สี จิ้นผิง เดินทางเยือนสหรัฐในเดือน เม.ย. ปี 2560 ทรัมป์ เปิดรีสอร์ทมาร์-อะ-ลาโก ในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เพื่อต้อนรับสี จิ้นผิง อย่างสมเกียรติ

แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ในระหว่างการเยือนสหรัฐของสี จิ้นผิงนั้น ทรัมป์ได้แสดงแสนยานุภาพโชว์แขกต่างแดน ด้วยการสั่งยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์คกว่า 50 ลูกถล่มใส่ซีเรีย พร้อมข้ออ้างว่า สหรัฐมีข้อมูลชัดเจนว่า ผู้นำซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีร้ายแรงโจมตีกลุ่มกบฏใน จ.อิดลิบ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในซีเรียเสียชีวิตจำนวนมาก

เหตุการณ์ครั้งนั้น ถูกเหล่านักวิจารณ์ทั่วโลกแสดงความไม่พอใจทรัมป์อย่างรุนแรง ขณะผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงขนาดตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์สั่งยิงขีปนาวุธถล่มซีเรีย เพื่อต้องการข่มขวัญสี จิ้นผิงทางอ้อม และอาจหวังผลถึงขั้นกดดันให้จีนไม่กล้าต่อกรกับสหรัฐในเรื่องการค้า

กระทั่งเมื่อไวรัสโคโรนาเริ่มระบาดในช่วงปลายปี 2562 โดยมีต้นตอมาจากเมืองอู่ฮั่นของจีน และกินเวลายืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนับจนถึงขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไปแล้วถึง 5,085,504 รายทั่วโลก และเสียชีวิต 323,188 ราย

ขณะที่สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลกถึง 1,591,991 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลกที่ 94,994 ราย ซึ่งตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตประชาชน และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์หล่นวูบ และยิ่งใกล้ช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐด้วยแล้ว ทรัมป์ยิ่งต้องเร่งหำทำงกู้คืน ความนิยมให้กลับคืนมา และหนึ่งในทางเลือกดังกล่าว คือการหาผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

ส่วนจีน มียอดติดเชื้อ 82,967 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,634 ราย

เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มส่อเค้าว่าจะปีนเกลียว ชื่อของหัวเว่ย บริษัท เทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ก็ถูกกล่าวถึงอีกครั้งในช่วงกลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมานี้ เมื่อ “หู สีจิน” บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทมส์ ของรัฐบาลจีน ระบุว่า จีนเตรียมตอบโต้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ หากสหรัฐยังคงใช้มาตรการกีดกันหัวเว่ย โดยจีนจะทำการสอบสวนบริษัทสหรัฐ ซึ่งรวมถึงควอลคอมม์, ซิสโก ซิสเต็มส์ และแอ๊ปเปิ้ล

“เท่าที่ผมรู้ หากสหรัฐยังคงสกัดไม่ให้หัวเว่ยเข้าซื้อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ จีนก็จะสอบสวนบริษัทควอลคอมม์, ซิสโก และแอ๊ปเปิ้ล” หู กล่าว

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ ที่มีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นการส่งมอบเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกให้กับบริษัทหัวเว่ย และเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อหัวเว่ย ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำอยู่แล้วเนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ

159008535239

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า กฎเกณฑ์ใหม่จะจำกัดขีดความสามารถของหัวเว่ยในการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ของสหรัฐ เพื่อการออกแบบและผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของหัวเว่ยในต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทต่างชาติที่ใช้อุปกรณ์ผลิตชิปของสหรัฐ จะต้องขอใบอนุญาตจากสหรัฐก่อนที่จะทำการส่งมอบอุปกรณ์ดังกล่าวให้กับหัวเว่ย

คณะทำงานของทรัมป์มองว่า หัวเว่ย ซึ่งเป็นผู้นำเครือข่ายสื่อสารไร้สาย 5จี เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ โดยเชื่อว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจถูกใช้ เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตาว่าจะเกิดสงครามการค้าครั้งที่ 2 หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาสงครามการค้าระลอกสองเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นบ้างแล้ว หลังจากสหรัฐขู่เก็บภาษีสินค้าจีน ขณะที่จีนประกาศความพร้อมตอบโต้ทันที หากสหรัฐลงมือ ซึ่งกระแสความวิตกกังวลในเรื่องนี้ ได้ปกคลุมบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้