หลายปัจจัยยังหนุน

หลายปัจจัยยังหนุน

คาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,330 – 1,335 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตาม sentiment เชิงบวกหลายปัจจัย

ตลาดหุ้นวานนี้

SET วานนี้ปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,322 จุด (+12.25 จุด) หรือ +0.94% ด้วย Volume ซื้อขาย 6.7 หมื่นล้านบาท ตอบรับข่าวกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อีก 0.25% เป็น 0.5% ส่งผลให้มีแรงซื้อในกลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD), กลุ่มอสังหาฯ (PSH, LH, AP) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, CKP) จากต้นทุนเงินทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,649 ล้านบาท  และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,045 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX SET50  4,719 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,330 – 1,335 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตาม sentiment เชิงบวกหลายปัจจัย ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุดยืนเหนือ 33 US/Barrel หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 5 ล้านบาร์เรล , ความคาดหวัง FED จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังกรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัส Covid-19 รวมถึงกนง.ลดอัตรดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เป็น 0.5% อย่างไรก็ตาม Valuation SET ที่ค่อนข้างตึงตัวหลัง FW P/E พุ่งขึ้นกว่า 17 เท่า (สูงกว่ากลุ่ม TIP) รวมถึงแรงขายกลุ่มธนาคารจากแนวโน้ม NIM ที่ลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงจึงควรระวังแรงขายรอบสั้นที่จะสลับเข้ามากดดันดัชนี

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, TOP, PTTGC, IRPC, SPRC) อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง
  • กลุ่ม Finance (KTC, SAWAD, MTC, JMT, BAM) ได้ประโยชน์ต้นทุนดอกเบี้ยลดลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น  ( CKP, TASCO, STA, EPG)

หุ้นแนะนำวันนี้

  • AP (ปิด 4.84 ซื้อ /เป้า 8.5) ได้ Sentiment บวกจากอัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาหุ้นยัง Laggard และจ่ายปันผลสูงประมาณ 8% ด้านผลประกอบการคาดกำไรสุทธิของ AP จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพราะมี Backlog รอโอนมากที่สุด สวนทางกับผู้ประกอบการายอื่นๆในกลุ่มที่กำไรสุทธิน่าจะหดตัวแรงในปีนี้ เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ3,334 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 8.7%yoy
  • TOP (ปิด 46.5 ซื้อ/เป้า 48) คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ราคาน้ำมันดิบที่ยืนเหนือระดับ 25$/bbl จะทำให้ TOP พลิกมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบใน 2Q20 เทียบจากที่ขาดทุนใน 1Q20 ขณะเดียวกันการคลาย lockdown ของทั่วโลกคาดว่าจะหนุนให้ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นช่วยให้ค่าการกลั่นพลิกกลับมาเป็นบวกในระยะถัดไป

บทวิเคราะห์วันนี้

BCP (ปิด 21.2 ซื้อ/เป้า 23), BGRIM (ปิด 50 ขาย/เป้า 38.5), LH (ปิด 6.9 ซื้อ/เป้าใหม่ 8.6 เดิม 9.7), RS (ปิด 11.3 ซื้อ/เป้าใหม่ 14 เดิม 12)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+/-) Fed minute คณะกรรมการเฟดกังวลเศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงในระยะกลาง แต่นักลงทุนมองว่าประเด็นนี้จะทำให้เฟดเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม : Fed เปิดเผยรายงานการประชุม (Fed minute) เมื่อวันที่ 28-29 เม.ย. โดยกรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐเผชิญกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนอย่างมากในระยะกลางและจะมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่จะต้องปิดกิจการ อย่างไรก็ตามในรายงานยังระบุว่า เฟดจะใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะเร่งเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและต่อเนื่องจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาฟื้นตัว การคาดการณ์ดังกล่าวหนุนดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนเพิ่มขึ้นอีก 369 จุด หรือ +1.52% ปิดที่ 24,575.90 จุด
  • (+) น้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นอีก 1.53 $/bbl จากสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 : ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 1.53 ดอลลาร์ (+4.8%) ปิดที่ระดับ 33.49 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตลาดยังคาดหวังดีมานด์เพิ่มขึ้นจากทั่วโลกคลาย lockdown และเมื่อคืนยังได้แรงหนุนจากด้าน Supply ที่เริ่มลดลง หลังจากที่สหรัฐรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลง 5.5 ล้านบาร์เรล ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 สวนทางกับที่ตลาดส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล  ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะยังเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันโดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรฯเคมีซึ่งมีโอกาสที่ 2Q20 จะกลับมามีกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบอีกครั้ง
  • (+) กนง.ลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์, อสังหาฯ, โรงไฟฟ้า และหุ้นปันผลสูง : วานนี้ กนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 4:3 ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากเศรษฐกิจหดตัวมากกว่าคาดและอัตราเงินเฟ้อติดลบมากกว่าที่ประเมินไว้ ผลจากการลดดอกเบี้ยส่งผลบวกโดยตรงกับหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ (MTC SAWAD KTC JMT), กลุ่มโรงไฟฟ้า(BGRIM GPSC BCGP CKP) และอสังหาฯ (AP LH) จากต้นทุนเงินทุนที่ลดลง และยังเป็นบวกต่อหุ้นที่จ่ายปันผลสูงจากผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการฝากเงิน อาทิ กลุ่มสื่อสาร (INTUCH ADVANC), และกลุ่ม Property fund, REIT และ Infrastructure fund ตรงกันข้ามอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะส่งผลลบโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง