กพอ.เคาะร่างสัญญาอู่ตะเภา 2.9 แสนล้าน เตรียมนัดเซ็น 'BBS' มิ.ย.นี้
กพอ.เห็นชอบร่างสัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา มูลค่าโครงการ 2.9 แสนล้านบาท เตรียมชง ครม.พร้อมนัดลงนามกลุ่มบีบีเอส ภายใน มิ.ย.นี้
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเห็นชอบโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาแล้วเสร็จ
ทั้งนี้จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบก่อนลงนามสัญญาระหว่างกองทัพเรือกับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS Joint Venture) ในเดือน มิ.ย.นี้ โดยการลงทุนของโครงการรวมเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 290,000 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (Lead Firm) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเสนอ Narita International Airport Corporation เป็นผู้รับจ้างในการบริหารสนามบิน
สำหรับโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนา “เมืองการบินภาคตะวันออก” ในพื้นที่ 6,500 ไร่ บริเวณสนามบินอู่ตะเภา โดยมี 6 กิจกรรมสำคัญ
- อาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (Passenger Terminal Building 3)
- ศูนย์ธุรกิจการค้าและการขนส่งภาคพื้นดิน (Commercial Gateway and Ground Transportation Centre)
- ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul)
- เขตประกอบการค้าเสรี และเขตธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Cargo Village or Free Trade Zone)
- ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ (Cargo Complex)
- ศูนย์ฝึกอบรมการบิน (Aviation Training Centre)
การประมูลครั้งนี้มีผู้ยื่นซอง 3 ราย คือ 1.กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส 2.กลุ่ม Grand Consortium 3.กลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร
การประเมินผลข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านเทคนิค) คณะกรรมการคัดเลือกพิจารณาตามข้อกำหนดเอกสารการคัดเลือกเอกชน (RFP) ที่ได้ระบุให้เอกชนผู้ยื่นข้อเสนอจัดทำข้อเสนอซองที่ 2 แยกรายละเอียดออกเป็น 2 หมวด คือ หมวดข้อเสนอด้านเทคนิคและหมวดข้อเสนอด้านแผนธุรกิจ โดยมีรายละเอียด 8 หัวข้อย่อย
โดยการประเมินในแต่ละหัวข้อย่อยเป็นแบบให้คะแนน (Scoring) ซึ่งคะแนนของแต่ละหัวข้อย่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และรวมคะแนนทั้ง 8 หัวข้อย่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จึงจะถือว่าผู้ยื่นข้อเสนอผ่านเกณฑ์ประเมิน
ผลการพิจารณาพบว่าเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 กลุ่ม ผ่านการประเมินซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) โดยมีคะแนนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
การพิจารณาซองที่ 3 (ด้านราคา) ของผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 กลุ่ม และมีมติเห็นชอบลำดับผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอเงินประกันรายได้ขั้นต่ำเป็นผลตอบแทนให้แก่รัฐที่ดีที่สุด โดยลำดับที่ 1 กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ลำดับที่ 2 กลุ่มธนโฮลดิ้งฯ ลำดับที่ 3 กลุ่ม Grand Consortium
กล่าวคือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอสเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกโดยได้เสนอราคาเป็นจำนวนเงินประกันผลตอบแทนค่าเช่าและส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำรายปีรวมตลอดอายุสัญญาร่วมทุน เมื่อคำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) ณ ปี 2561 โดยใช้อัตราคิดลดร้อยละ 3.76 เท่ากับ 305,555,184,968 บาท ตลอดอายุสัญญา 50 ปี
ทั้งนี้ ภาครัฐเริ่มเจรจากับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอสวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 – 13 เมษายน 2563 โดยตั้งคณะทำงานเจรจา 2 ชุด ได้แก่
1.คณะทำงานเจรจารายละเอียดด้านเทคนิค
2.คณะทำงานเจรจาเงื่อนไขร่างสัญญาร่วมลงทุน โดยคณะทำงานเจรจาฯ ทั้ง 2 คณะ ได้มีการประชุมเจรจากับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ทางด้านเทคนิค การเงิน และข้อกฎหมาย
รวมทั้งสิ้น 19 ครั้ง ภายใต้กรอบของเอกสารการคัดเลือกเอกชนฯ หลักการโครงการที่ กพอ. ได้เห็นชอบไว้ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งแล้วเสร็จ ผลการเจรจา : บรรลุข้อตกลงการเจรจากับเอกชนร่วมลงทุน โดยรับทราบข้อเสนอซองที่ 4 (ข้อเสนออื่นๆ) ของกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส และไม่นำมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างสัญญาร่วมลงทุน เนื่องจากไม่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขในการคัดเลือก และดำเนินการจัดส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา