'พนม ศรศิลป์' เจอคุก! 91 ปี 36 เดือน หลังพบทุจริตงบ พศ.

'พนม ศรศิลป์' เจอคุก! 91 ปี 36 เดือน หลังพบทุจริตงบ พศ.

"พนม ศรศิลป์" อดีต ผอ.พศ. เจอคุก 91 ปี 36 เดือน หลังพบทุจริตงบ พศ.

เมื่อวันนี้ 20 พ.ค.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนวนที่ 6 คดีหมายเลขดำ อท.280/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) , นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา , นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83,86 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดยอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.61 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อปีงบประมาณ 2556-2557 สำนักงาน พศ. ได้รับงบประมาณตามแผนงานเงินอุดหนุนการปฏิบัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , เงินอุดหนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปรรยัติธรรม , เงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา , เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี โดยจะมี ผอ.พศ.เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว กระทั่งต้นปี 2556 จำเลยที่ 2 ไปพบเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เกี่ยวกับการเสนอเงินอุดหนุน ให้กับวัดบางอ้อยช้าง 2 ล้านบาท โดยให้วัดจะต้องคืนเงินกลับมาจำนวน 1.6 ล้านบาทซึ่งจำเลยที่ 2 อ้างว่าเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆ เจ้าอาวาสเห็นว่าวัดบางอ้อยช้างจะได้รับเงินมาบูรณะวัดที่กำลังทรุดโทรมและเชื่อว่าเงินที่คืนให้กับจำเลยที่ 2 จะสามารถช่วยทำประโยชน์แก่วัดต่างๆ ได้โดยเชื่อมั่นวางใจในจำเลยที่ 2 ดังนั้นจึงได้ลงลายมือชื่อขอรับเงินงบประมาณตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้เลือกวัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงที่ตั้งในเขตจ.นนทบุรี ตามที่เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างเสนอเพื่อรับเงินด้วย โดยจำเลยที่ 2 ให้เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างดำเนินการแทนวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตเพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 12 ก.พ.56 - 26 ก.ย.57 จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังหลบหนี สมคบกันทุจริตอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วยเงินอุดหนุนการปริยัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม , โครงการเงินอุดหนุนการจัดงาน วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา , โครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี โดยวันที่ 12 ก.พ.56 จำเลยที่ 2 อนุมัติเงิน 2 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้างแล้วเอาเงินคืนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 2 เม.ย.56 จำเลยที่ 1-3 ขออนุมัติเงินเบิกเงินงบประมาณโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม 10 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้าง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้รับเงินคืนไป 8 ล้านบาท , วันที่ 1 พ.ย.56 จำเลยที่ 1 ,2 ,4 ขออนุมัติเบิกเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาิประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ 4 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 4.5 ล้านบาท ทั้งที่พวกจำเลยและนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. (ยังหลบหนีคดี) รู้อยู่แล้วว่าได้อนุมัตเงินไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิธีการงบประมาณเนื่องจากเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาไม่อยู่ในกิจกรรมจำนวน 8 กิจกรรมของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้เงินงบประมาณ แล้วจำเลยที่ 2 ยังขอรับเงินคืนจากวัดบางอ้อยช้าง 4 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ 3.2 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 3.6 ล้านบาท รวมจำนวนเงินความผิดส่วนนี้ทั้งสิ้น 10,800,000 บาท จากนั้นวันที่ 23 ก.ย.57 จำเลยที่ 1-2 ยังทำบันทึกข้อความเสนอ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ขออนุมัติเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ประจำปีงบประมาณ 2557 ให้วัดบางอ้อยช้างอีก 1.5 ล้านบาท แล้วจำเลยที่ 2 ไปขอรับเงินคืน 1.3 ล้านบาท รวมเงินงบประมาณที่สำนักงาน พศ. โอนให้กับวัดบางอ้อยช้าง , วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต เป็นเงินทั้งสิ้น 28 ล้านบาท และมีการรับเงินคืนไปรวม 21,700,000 บาท ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ร่วมกันเบียดบังเอาเงินงบประมาณ ของสำนักงาน พศ. ไปเป็นประโยชน์ของตน ด้วยการใช้วัดเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดรับโอนเงินงบประมาณ ทำให้สำนักงาน พศ. เป็นผู้เสียหาย ซึ่งอัยการโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1-4 ต่อจากโทษในคดีอื่นๆด้วย

โดยจำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ พร้อมสืบพยานต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดี นายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 และกลุ่มลูกน้อง ในสำนักงาน พศ.จำเลยที่ 2,3,4 ไม่ได้ประกันตัว ปัจจุบันถูกคุมขังในเรือนจำ

ขณะที่ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 , 157 , 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ประกอบ ป.อ.มาตรา 83

ส่วนจำเลยที่ 4 กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนกระทำตาม ป.อ.มาตรา 147 , 157 , 162 (4) และ พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ประกอบมาตรา 86

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป สำหรับนายพนม อดีต พศ. จำเลยที่ 1 ให้จำคุก 3 กระทง เป็นเวลา 35 ปี (กระทงแรกจำคุก 14 ปี , กระทงที่ 2 เป็นเวลา 15 ปี และกระทงที่ 3 เป็นเวลา 6 ปี)

นายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง จำเลยที่ 2 จำคุกรวม 4 กระทงเป็นเวลาทั้งสิ้น 41 ปี (กระทงแรก 6 ปี , กระทงที่ 2 เป็นเวลา 14 ปี , กระทงที่ 3 เป็นเวลา 15 ปี และกระทงที่ 4 เป็นเวลา 6 ปี )

นายณรงค์เดช อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำเลยที่ 3 จำคุก 14 ปี และ นายพัฒนา อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี

อย่างไรก็ดีทางนำสืบของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างจึงลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนดทั้งสิ้น 23 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 2 จำคุก 27 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี 4 เดือน , จำเลยที่ 4 จำคุก 6 ปี 8 เดือน

และให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินคืนให้สำนักงาน พศ. ผู้เสียหายด้วย จำนวน 1.6 ล้านบาท , ให้จำเลยที่ 1,2,3 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 8 ล้านบาท , ให้จำเลยที่ 1,2,4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 10,800,000 บาท , ให้จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันชดใช้เงินคืนจำนวน 1.3 ล้านบาท (รวมจำนวนเงินชดใช้ทั้งสิ้น 21,700,00 บาท)

ศาลสั่งจำคุก"พนม ศรศิลป์"พร้อมอดีตขรก.พศ.17 ปี 4 เดือนคดีทุจริต

รออาญา 1 ปี ปรับ 8 พัน "อดีตพระพรหมดิลก" ทุจริตงบพศ.

และยังให้นับโทษของ นายพนม อดีต ผอ.ผศจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561 , อท.257/2561 , อท.32/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย

ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 9 เดือน) และ อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 19 ก.พ.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

ส่วนนายณรงค์เดช อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่ฯ จำเลยที่ิ 3 และนายพัฒนา อดีตนักวิชาการกองส่งเสริมงานเผยแผ่ฯ จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.257/2561 ของศาลนี้ด้วย (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 19 ก.พ.63 จำคุก 3 ปี 18 เดือน)

นอกจากนี้ในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ศาลยังอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงาน พศ. สำนวนที่ 7 ด้วยในคดีหมายเลขดำ อท.281/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม อดีต ผอ.พศ. , นายบุญเลิศอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา , นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ

โดย อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.61 พฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.56 จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อนายนพรัตน์ ผอ.พศ.ในขณะนั้น ให้สนับสนุนงบประมาณแก่สำนักเรียนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการจำนวน 15 ล้านบาท โดยให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท , วันที่ 26 ก.ค.56 ขออนุมัติงบประมาณอีก 8 ล้านบาท แบ่งจ่ายให้แก่วัดใหม่ผดุงเขต 2.5 ล้านบาท กับวัดศรีเรืองบุญ 3 ล้านบาท แล้วพวกจำเลยให้เจ้าอาวาสวัดคืนเงินให้กับจำเลยที่ 2 ไปจำนวน 4 ล้านบาท , 2 ล้านบาทและ 2.4 ล้านบาทตามลำดับ จากนั้นวันที่ 6 ส.ค.56 พวกจำเลยยังเบิกจ่ายงบประมาณอีก 9 ล้านบาท มอบให้แก่วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต , วัดบางอ้อยช้างวัดละ 2 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 มาขอรับเงินคืนไปวัดละ 1.6 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ก.ย.56 พวกจำเลยยังเบิกจ่ายงบประมาณอีกจำนวน 20 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 6 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงเขตแห่งละ 3 ล้านบาท จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้มาขอรับเงินคืนไปจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4.8 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญ กับวัดใหม่ผดุงเขตแห่งละ 2.4 ล้านบาท ซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณนั้นจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าวัดทั้ง 3 แห่ง ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาในสังกัดหรือตั้งอยู่ที่จะมีสิทธิได้รับเงิน แล้วจำเลยที่ 1-4 กับ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ได้เบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริต เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหาย แก่สำนักงาน พศ. ซึ่งจำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ พร้อมสืบพยานต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำและทัณฑสถานหญิงกลาง

ขณะที่ศาล พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยในชั้นไต่สวนแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ป.อ.มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 กระทงรวมโทษทั้งสิ้น 44 ปี (กระทงแรกจำคุก 9 ปี , กระทงที่ 2-3 จำคุกกระทงละ 10 ปีเป็น 20 ปี , กระทงที่ 4 จำคุก 15 ปี)

โดยทางนำสืบของจำเลยที่ 1-4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 29 ปี 4 เดือนและให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน 28,500,000 บาท คืนสำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย

พร้อมกับนับโทษของ นายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 27 ธ.ค.62 จำคุก 20 ปี) , อท.254/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ิ 5 มี.ค.63 จำคุก 12 เดือน) , อท.257/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 ก.พ.63 จำคุก 2 ปี 12 เดือน) , อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) , อท.280/2561 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 23 ปี 4 เดือน), อท.43/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 4 ปี) ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย

ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561(ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 9 เดือน) , อท.280/2561, อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

สำหรับนายแก้ว อดีตนักวิชาการกองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 3 และนางพรเพ็ญ อดีตนักวิชาการ กองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561(ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 5 มี.ค.63 จำคุก 12 เดือน) , อท.32/2562 (ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 19 พ.ค.63 จำคุก 13 ปี 4 เดือน) ของศาลนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโทษจำคุกในส่วนของนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ที่ศาลมีคำพิพากษารวม 7 สำนวนในความผิดการทุจริตงบ พศ.นั้น รวมเวลาจำคุกทั้งสิ้น 91 ปี 36 เดือน และมูลค่าเงินเสียหายที่ต้องร่วมกับพวกชดใช้คืนสำนักงาน พศ.ทั้งสิ้น 85,207,235 บาท แต่อย่างไรก็ดีโทษใน 7 จำนวนดังกล่าวยังเป็นเพียงการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นซึ่งคู่ความยังยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ได้อีกตามสิทธิและขั้นตอนกฎหมาย