'เจดับเบิ้ลยูดี' ชะลอซื้อกิจการ พิษ 'โควิด' ฉุดกำไรปีนี้วูบ 10%

'เจดับเบิ้ลยูดี' ชะลอซื้อกิจการ พิษ 'โควิด' ฉุดกำไรปีนี้วูบ 10%

“เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์” คาดรายได้-กำไรปีนี้ลดลง 10% จากปีก่อน ผลกระทบโควิด-19 ฉุดรายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ พร้อมชะลอแผนซื้อกิจการ และเลื่อนแผนขายธุรกิจอาหารในไต้หวัน

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิปี 2563 มีโอกาสปรับตัวลดลงอย่างน้อย 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,774 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้มีการปิดล็อกดาวน์นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและลากยาว กรณีเลวร้ายสุด อาจกระทบรายได้บริษัทลดลงมากถึง 30% จากปีก่อน

ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ประเมินว่าน่าจะเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดของปี เนื่องจากปกติแล้วเป็นช่วงโลซีซันของธุรกิจ ประกอบกับมีมาตรการล็อกดาวน์ประเทศต่อเนื่องทั้งเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มลูกค้าโรงงานรถยนต์ต้องชะลอการผลิตออกไป และเพิ่งเริ่มกลับมาเปิดโรงงานได้ ส่วนด้านตู้สินค้าเคมีที่ออกจากจีน หรือการส่งออกไปสหรัฐและยุโรป ค่อนข้างยังติดปัญหา รวมถึงมีปริมาณขนส่งไม่มากเหมือนเดิม

ขณะที่แผนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในปีนี้ ที่บริษัทศึกษาอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนส่งและธุรกิจยานยนต์ อาจต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากผลกระทบโควิด-19 อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าปัจจุบันบริษัทมีเงินสดเพียงพอสำหรับเข้าซื้อกิจการ โดยมีกระแสเงินสดกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทปรับลดงบลงทุนปีนี้เหลือจำนวน 800 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ราว 1,000 ล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนห้องเย็นและอาคารเอกสารราว 650-700 ล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ อีก 100 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าการขายหุ้นในบริษัท Chi Shan Long Feng Food Co., Ltd. ซึ่งประกอบธุรกิจอาหารในประเทศไต้หวันนั้น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างคุยกับนักลงทุน 2 ราย แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก เพราะติดปัญหาการเดินทางเข้าไปทำดีลจากโควิด-19 ระบาด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า

นอกจากนี้ แผนงานในช่วง 3 ปีนี้ บริษัทจะขยายสัดส่วนการขนส่งแบบ B2C มากขึ้น เพราะการเติบโตมีทิศทางที่ดี หลังในประเทศมีการเน้นการขยายธุรกิจด้าน B2C เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ