กังวลโควิดรอบที่สองในสหรัฐ

กังวลโควิดรอบที่สองในสหรัฐ

ตลาดหุ้นวานนี้ปิดบวกกว่า 12 จุด แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค โดยตลาดหุ้นภายในประเทศได้แรงหนุนจากกลุ่ม ENERG จากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว ประกอบกับแรงหนุนจากหุ้นรายตัว

อาทิ BANPU และ DELTA ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,299.69 จุด (+12.39 จุด) Volume 5.9 หมื่นลบ. ต่างชาติ -3,205.07 ลบ. TFEX Net +331 สัญญา ตราสารหนี้ +1,783 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

-ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 457.21 จุด -1.89% หลังแพทย์ใหญ่ทำเนียบขาวเตือนโควิด-19อาจแพร่ระบาดรอบสองหากสหรัฐเปิดศก.ก่อนเวลาอันควร

+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 1.64 ดอลลาร์ +6.8% ปิดที่ 25.78 ดอลลาร์/บาร์เรลขานรับซาอุฯ ปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย. และนลท.คาดหวังว่ากาเปิดศก.ของหลายประเทศจะเพิ่มความต้องการใช้น้ำมัน

-ทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ทะลุ 4.3 ล้านราย เสียชีวิต 2.9 แสนราย

+WHOระบุ การทดสอบยาต้านไวรัสโควิด-19 ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ

+ครม.อนุมัติกรอบใช้เงินกู้ 4 แสนลบ.ใช้กระตุ้นศก.ฟื้นฟูประเทศคาดเม็ดเงินเริ่มเข้าสู่ระบบ ก.ค.นี้

- สหรัฐรายงานดัชนี CPI ร่วง 0.8% ดิ่งแรงสุดรอบกว่า 10 ปี

-ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 3.24 จุด -0.11%

-ดัชนีนิกเกอิปิดลดลง 24.18 จุด -0.12% เช้านี้เปิดร่วง 225.56 จุด

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 1.75 แสนลบ. ค่าเงินบาท 32.105 บาท/US

*จับตาสหรัฐเผชดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วน EU เผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดภูมิภาค หลังแพทย์ในคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมไวรัสโควิด-19 ของทำเนียบขาวสหรัฐ ออกมาเตือนว่าอาจมีการแพร่ระบาดเป็นรอบที่สองในสหรัฐ หากมีการเปิดเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควร คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,310 จุด

หุ้นรายงานพิเศษ

TASCO Conference Call : ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (“ซื้อเก็งกำไรราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 23.02)

- บริษัทมียอดขาย 1Q63 ที่ระดับ 5,111 ล้านบาท ลดลง -47%QoQ และ -27.9%YoY จากผลกระทบของมาตรการ Lockdown ทั้งในประเทศจีนและมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดหลัก ขณะที่ตลาดในประเทศถูกกระทบจากงบประมาณปี 63 ของภาครัฐที่ล่าช้า ในส่วนของ Gross Margin ลดลงจาก 10.6% ในไตรมาสก่อน เป็นติดลบ -12.8%  ผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงจาก 66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลใน 4Q62 มาอยู่ที่ 23 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล บริษัทจึงจำเป็นต้องบันทึกผลขาดทุนจากสต็อคราว 2,163 ลบ. ส่งผลมีผลขาดทุนสุทธิเท่ากับ 784 ล้านบาท เทียบกับ 1Q62 และ 4Q62 ที่มีกำไร 717 ล้านบาท และ 641 ล้านบาท ตามลำดับ

+ คาดผลประกอบการ 2Q63 จะกลับมาฟื้นตัวขึ้น ตามคำสั่งซื้อจากจีนที่ถูกจาก 1Q63 และคำสั่งซื้อใหม่ที่ทยอยเข้ามาหลังกลับมาเปิดประเทศ ประกอบกับแรงหนุนจากราคายางมะตอยในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลน หลังต้องการยางมะตอยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วง  High Season

ความเห็น : เราเชื่อว่าผลประกอบการของ TASCO ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ตั้งแต่ 2Q63 เป็นต้นไป หลังมีเบิกจ่ายงบประมาณ และสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายดีขึ้น เราจึงแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร

 

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นที่จะเข้าคำนวณ MSCI Global Standard (AWC BAM KTC) MSCI Small Cap (BANPU) มีผล 29 พ.ค. 
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการเปิดปลดล็อกดาวน์เฟส 2 ได้แก่ หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรด (CRC MBK CPN SF HMPRO DOHOME MC RSP COM7 JMART) หุ้นกลุ่มร้านอาหาร (AU M ZEN MINT) และหุ้นในกลุ่มบริการสปา (SPA)

หุ้นมีข่าว   

(+) ARROW (ราคาเหมาะสม 10.00 บาท)  รายงานกำไรสุทธิเท่ากับ 60.0 ล้านบาท (ดีกว่าประมาณกาของเรา 18.8%) เติบโตโดดเด่น 61%QoQ และ 46%YoY โดยมีสาเหตุหลักจาก Gross Margin ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากราคาวัตถุดิบเหล็กจากจีนที่ปรับตัวลดลงจาก 24-26 บาท/กก. ใน 4Q19 เหลือ 18-22 บาท/กก.

ความเห็น แม้ ARROW จะได้รับผลกระทบจากธุรกิจก่อสร้างที่ชะลอตัวลง แต่ราคาวัตถุดิบเหล็กที่ปรับตัวลงยังสามารถช่วยพยุงผลประกอบการได้บางส่วน เราแนะนำ ซื้อW ราคาเหมาะสม 10.00 บาท ยังมี Upside จากราคาปัจจุบันราว 40%

JUBILE (ซื้อเมื่ออ่อนตัว ราคาเหมาะสม 13.8) รายงานกำไร 1Q63 ที่ 45 ล้านบาท -15% และ -44%QoQ เนื่องจากรายได้ลดลง 6% เหลือ 364 ล้านบาทจากผลกระทบของการปิดห้างสรรพสินค้าตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 63 อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นขาก 47.5% สู่ 49.6% จากสัดส่วนสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและผลกระทบจาก IFRS16 ที่บันทึกค่าเช่าเป็นค่าเสื่อมราคาและต้นทุนทางการเงิน ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทรงตัวที่ระดับ 118 ล้านบาท

ความเห็น เราแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการใน 2Q63 จะปรับตัวลงต่อเนื่องและเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดในปีนี้เนื่องจากกรปิดห้างสรรพสินค้าถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 63 และคาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

BGRIM (เก็งกำไร Bloomberg Consensus 50.25 ) รายงานกำไร 1Q63 ที่ 81 ล้านบาท -85%YoY และ -80%QoQ เนื่องจากมีผลขาดทุนจากอตราแลกเปลี่ยน 886 ล้านบาท หากพิจารณากำไรปกติเติบโตสู่ 682 ล้านบาท จากการมีโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 820 MW ที่ดำเนินการในปีที่แล้ว ทำให้ปีนี้รับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มปี นอกจากนี้ต้นทุนเชื้อเพลิงที่ปรัตัวลงตามราคาน้ำมันยังเป็ปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงานปกติเพิ่มเติม

ความเห็น เราคาดว่า 2Q63 ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจาดอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินบาทเริ่มสร้างฐานในกรอบ 32-33 บาทต่อดอลลาร์ได้ อีกทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังได้รับผลบวกจากสภาพอากาศแล้งทำให้ค่าความเข้มแสงสูงขึ้น แนะนำ เก็งกำไร

IVL (ซื้อ Bloomberg Consensus 30.6) รายงานกำไร 1Q63 ที่ 571 ล้านบาท +138%QoQ แต่ -85%YoY เนื่องจากขาดทุนจากสต็อกสินค้าราว 3.5 พันล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.88 พันตันสู่ 3.31 พันตันหลังรับรู้กำลังการผลิตจากการเข้าซื้อกิจการของ Huntsman ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน

ความเห็น เราคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q63 และปรับดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มคลาย Lockdown ทำให้อุปสงค์ในสินค้าที่เกี่ยวของกับ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ความสะอาด และเส้นใยปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกสินค้าสูงเท่า 1Q63 จึงแนะนำ ซื้อ

BANPU (เปลี่ยนกลุ่มเล่น Bloomberg Consensus 8.4)  มาเหนือคาดกำไรไตรมาส 1/2563 พุ่ง 90% ที่ 1.71 พันล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยนหนุนหลังเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 54% ที่ 3.09 ล้านตัน มีรายได้จากการขาย 1.98 หมื่นล้านบาท (ที่มา ทันหุ้น)

ความเห็น เราแนะนำให้เปลี่ยนกลุ่มเล่น เนื่องจากราคาถ่านหินถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำทำให้โรงงานต่างๆ มีแนวโน้มที่จะหันไปใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น อีกทั้งเหมืองถ่านหินผลิตมลพิษสูงทำให้ทังจีนและยุโรปลดการใช้ถ่านหิน และจำกัดเงินให้กู้ยืมในธุรกิจดังกล่าว เราจึงแนะนำให้เปลี่ยนกลุ่มจากถ่านหินไปยังกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน โดยเน้นที่กลุ่มโรงกลั่น ซึ่งผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q63

 

BBL Conference Call (มุมมอง Neutral ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 140 บาท)

ผู้บริหารยืนเป้าการเติบโตของสินเชื่อ 3-4% คาดคชจ.สำรองหนี้สูญราว 12,000 – 15,000 ล้านบาทโดยได้คำนึงถึงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดรอบสอง ภาวะภัยแล้ง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าไว้ด้วยแล้ว ทั้งนี้ธนาคารมีสัดส่วน Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงที่ 204% ความคืบหน้าในการซื้อหุ้นแบงก์เพอร์มาตา ประเทศอินโดนีเซียหากดีลจบภายในเดือนมิ.ย. ราคาขายหุ้นจะลดเหลือ 1.63 เท่าจากเดิม 1.77 เท่าซึ่งจะทำให้มูลค่าซื้อลดเหลือ 7.4 หมื่นล้านบาทจากเดิม 8.1 หมื่นล้านบาท 

ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมอง “Neutral” ต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว จากการเป็นธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานลูกค้าประเภทสินเชื่อธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดีลซื้อธนาคารเพอร์มาตาในประเทศอินโดนีเซียจะเป็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคต  ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PBV 0.44 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ระดับ 0.52 เท่า

SPRC (ซื้อ Bloomberg Consensus 6.39) เผย Q1/2563 ขาดทุน 8,273 ล้านบาท เหตุราคาน้ำมัน-สต๊อกน้ำมันลดลง แต่ยังต่ำกว่าโบรกคาด พร้อมมอง Q2/2563 จะปรับดีขึ้นอย่างมากจากผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลงและค่าการกลั่นตลาดปรับดีขึ้น  (ที่มาทันหุ้น)

ความเห็น เราคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q63 จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ทั้งนี่ผลประกอบการ 2Q63 จะปรับตัวดีขึ้นจากไม่มีผลขาดทุนของสต๊อกน้ำมันและคาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวขึ้นหลังประเทศต่างๆ เริ่มทยอยคลาย Lockdown จึงแนะนำให้ ซื้อ