‘เฟด’ เตือนธุรกิจ ‘สหรัฐ’ อาจล้มละลายปล่อยชัตดาวน์ยืดเยื้อ

‘เฟด’ เตือนธุรกิจ ‘สหรัฐ’ อาจล้มละลายปล่อยชัตดาวน์ยืดเยื้อ

“เฟด” เตือนธุรกิจ “สหรัฐ” จะล้มละลายปล่อยชัตดาวน์เศรษฐกิจยืดเยื้อ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาเตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และการชัตดาวน์เศรษฐกิจสหรัฐบางส่วนนั้น อาจทำให้ธุรกิจต่างๆ ประสบกับภาวะล้มละลายครั้งใหญ่ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างยาวนานต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์  ระบุในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันอังคาร (12 พ.ค.) ว่า ธุรกิจต่างๆ จะประสบกับภาวะล้มละลายครั้งใหญ่ และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากการชัตดาวน์เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไป

ทางด้านนายนีล แคชคารี ประธานเฟดสาขามินนีอาโปลีส  เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากผลกระทบของการโรคระบาด ขณะที่นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด  สาขาดัลลัส  กล่าวว่า เศรษฐกิจจะต้องได้รับการกระตุ้นด้านการคลังมากขึ้น หากอัตราการว่างงานยังคงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ระดับ 0% ในช่วงกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และได้ออกโครงการปล่อยเงินกู้เพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดจากโรคระบาด

นายบูลลาร์ดเตือนว่า ผลผลิตทางเศรษฐกิจอาจร่วงลงราว 40% ในไตรมาส 2 ปี 2563 หากรัฐบาลยังคงสั่งให้ธุรกิจต่างๆ ปิดการดำเนินงานต่อไป โดยเขากล่าวในที่ประชุม Official Monetary and Financial Institutions Forum ว่า การชัตดาวน์เศรษฐกิจมีความเหมาะสมในช่วงแรกของการรับมือกับวิกฤตโรคระบาด แต่ขณะนี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ โดยธุรกิจจำนวนมากจะประสบกับภาวะล้มละลายและจะสร้างความเสียหายที่ยาวนาน หากธุรกิจต่างๆ ไม่สามารถเริ่มการดำเนินงานได้

ด้านนายแคชคารี กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะยังคงได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับโรคระบาด พร้อมกับระบุว่า สหรัฐจะไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้จนกว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้ ประธานเฟดทั้ง 3 คนดังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เฟดไม่มีแนวโน้มที่ใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเป็นเครื่องมือในการจัดการกับภาวะเศรษฐกิจในเร็วๆ นี้ ขณะที่นายบูลลาร์ดระบุว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะใช้การซื้อสินทรัพย์เป็นเครื่องมือในการจัดการกับภาวะเศรษฐกิจมากกว่า

นอกจากนี้ นายแคปแลนเปิดเผยกับซีเอ็นเอ็น อินเตอร์เนชันแนลว่า หากสหรัฐมีอัตราการว่างงานสูงสุดแตะระดับประมาณ 20% ตามที่เฟดคาดไว้ และหากอัตราการว่างงานแตะระดับประมาณ 10% ภายในสิ้นปี รัฐบาลสหรัฐก็จำเป็นจะต้องออกมาตรการกระตุ้นด้านการคลังเพิ่มขึ้น  เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ