'ฝ่ายมั่นคง' จ่อเอาผิดยิงเลเซอร์ ตำรวจล่ามือมืด-เฝ้าระวังจุดเสี่ยง

'ฝ่ายมั่นคง' จ่อเอาผิดยิงเลเซอร์ ตำรวจล่ามือมืด-เฝ้าระวังจุดเสี่ยง

แห่แชร์ภาพยิงเลเซอร์ "ตามหาความจริง" สถานที่สลายม็อบ นปช. ปี 2553 โฆษกกลาโหม เชื่อทำเป็นขบวนการ ชี้ไม่เหมาะสม หวังยั่วยุทางการเมือง หาช่องกฎหมายเอาผิด

ขณะที่ตำรวจเร่งตรวจสอบ สั่งเฝ้าระวังสถานที่สำคัญ “จตุพร” ประธาน นปช. ชี้รัฐบาลรอวันพัง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา สื่อโซเชียลได้มีการเผยแพร่ภาพถ่าย เลเซอร์ข้อความปริศนา “ตามหาความจริง” และข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อ 10 ที่ผ่านมา ในช่วงเดือน พ.ค.2553 ถูกฉายด้วยลำแสงเลเซอร์ในหลายจุดสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

โดยสถานที่ๆ พบข้อความ มีทั้งซอยรางน้ำ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน กระทรวงกลาโหม และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งนี้เดือนพ.ค.ปี 2563 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาครบ 10 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มนปช. ซึ่งการสลายการชุมนุมจบลงเมื่อวันที่ 19 พ.ค. โดยมีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก

ทั้งนี้ภาพดังกล่าวถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ซึ่งได้รับความสนใจในผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ มากที่สุด โดยอยู่ในเทรนด์ทวิตเตอร์ อันดับ 1 ของประเทศไทย

ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช คณะก้าวหน้า ได้โพสต์ทวิตเตอร์ในชื่อ Pannika Wanich ระบุว่า “ความจริงตอนสลายชุมนุมพฤษภา 53 ทหารใช้งบ 3,000 ล้าน ใช้กระสุนจริง 117,932 นัด เป็นกระสุนซุ่มยิง 2,120 นัด ผู้เสียชีวิตจากการสลายชุมนุม ส่วนใหญ่ถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง ที่หัว อก ท้อง ซึ่งเป็นจุดตาย มีอย่างน้อย 12 คำวินิจฉัยศาลที่บอกว่าคนที่ตาย ตายจากกระสุนทหาร” พร้อมกับติดแฮชแท็กระบุว่า #ตามหาความจริง

กห.ชี้ทำเป็นขบวนการ-หวังยั่วยุ

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าวัตถุประสงค์ของผู้ดำเนินการทำเพื่ออะไร แต่คาดว่าน่าจะทำกันเป็นขบวนการ และนำไปขยายผลเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย เพื่อต้องการให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆในอดีตแต่ไปพาดพิงกับองค์กร และสถาบันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ส่วนตัวมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม กับสถานที่ราชการ หรือองค์กรต่างๆ เป็นการยั่วยุให้เกิดความแตกแยกหวาดระแวง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์โดยรวมของประเทศ ที่กำลังเผชิญอยู่

“หากมองว่าเป็นการตามหาความจริง เราสามารถค้นหาความจริงจากความคืบหน้าของคดี ที่มีกระบวนการตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ก็ไม่ได้ปกปิดอะไร ทั้งนี้หลายคดีก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรม บางคดีก็ได้รับการตัดสินไปแล้ว การกระทำเช่นนี้มองว่าเป็นการแสดงออกและมีนัยทางการเมืองแอบแฝง ของคนกลุ่มนั้นๆ มุ่งหวังให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันและองค์กร ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามพิจารณาทางกฎหมายอยู่เพื่อตามหาผู้กระทำผิดก็คงจะไม่ยากเกินไป " พล.ต.คงชีพ กล่าว

เล็งพิจารณาข้อกฎหมายเอาผิด

พล.ต.คงชีพ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงกลาโหม มีกล้องวงจรปิดอยู่ สามารถตรวจสอบเหตุการณ์ได้ ทั้งนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ และยืนยันว่า การแสดงออกสามารถทำได้ แต่ไม่ควรยั่วยุ ทำให้สังคมแตกแยก ต้องย้อนถามไปยังกลุ่มที่ดำเนินการว่ามีวัตถุประสงค์อะไร

“ขณะนี้ขอพิจารณาในข้อกฎหมาย ว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้างต่อผู้ที่กระทำเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะกระทำต่อที่สาธารณะ ซึ่งอาจทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเข้าใจผิด ก็ทำให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรนั้นได้”

ตำรวจล่ามือยิงเลเซอร์

พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 กล่าวว่า การฉายโปรเจคเตอร์ในลักษณะแบบนี้ มีหลายท้องที่ในนครบาลสำหรับในพื้นที่ของกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ตรงได้สั่งการ ให้ตำรวจในท้องที่ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมข้อมูลรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับทราบ พร้อมสั่งการให้ออกตรวจตรา หากมีเหตุเกิดขึ้นอีกให้นำตัวผู้ก่อเหตุมาซักถาม ในส่วนความผิดในกรณีแบบนี้ ยังไม่สามารถตอบได้ ขอดำเนินการตรวจสอบก่อน

“จตุพร” ชี้รัฐบาลรอวันพัง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ PEACE TALK โดยวิจารณ์สถานการณ์ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในสภาพรอเวลาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หากเข้าสถานการณ์ปกติพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีสภาพอย่างไร เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถวสองจ่อเคลื่อนไหวขอเป็นรัฐมนตรีกันแล้ว เนื่องจากพรรคนี้รับรู้กันดีว่าอนาคตสั้น สภาพพรรคการเมืองอยู่ได้เพียงสมัยเดียว หากพล.อ.ประยุทธ์ไปแล้วพรรค พปชร.ก็คงต้องจบไป ดังนั้นสถานการณ์ภายในพรรคจึงรอวันปะทุขึ้น

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนประชาธิปัตย์ ยังมีปัญหาระหว่างฝ่ายเป็น ครม. กับไม่ได้เป็น ครม. ล้วนมีความเห็นทางการเมืองไปคนละทาง โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล เพื่อเอาใจประชาชนในฐานะ ส.ส.เท่านั้น สำหรับภูมิใจไทย แม้มีความเป็นเอกภาพ แต่ปั่นป่วนกันภายในไม่แตกต่างกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วม ล้วนซ้อนมีดไว้ข้างหลัง พร้อมทิ่มแทงกันได้ทุกขณะที่มีโอกาส ดังนั้นภาพที่แลเห็นกันทั่วไป พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้มีความสามัคคีกัน ไม่ได้รักกันจริง ดังนั้นรัฐบาลจึงรอวันพังกันอยู่ดี

"รวมทั้งพรรคฝ่ายค้าน ถ้าเลือกตั้งใหม่ ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญเดิมแล้ว ผลลัพธ์ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ใช่คำตอบ สถานการณ์แบบนี้ รัฐบาลอ่อนยวบ ในอนาคตคนของพรรคร่วมรัฐบาลจะจมเรือรัฐบาลเอง อีกทั้งแรงกระเพื่อมในรัฐบาลจะแรงกว่าปัจจัยภายนอก ดังนั้นอนาคตของไทยจึงมืดมน ผมไม่คิดล้มรัฐบาล แต่การแสดงความเห็นล้วนแยกแยะ ผมเอาใจช่วยสู้โควิด-19 ด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องเศรษฐกิจไม่ไหวจริงๆ”นายจตุพรกล่าว