ประวัติศาสตร์อนาคต 'Future History'

ประวัติศาสตร์อนาคต 'Future History'

ประวัติศาสตร์อนาคต ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหลายอย่างเป็นตัวพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งโลกกำลังจะเปลี่ยนไป คนจะสนใจและใส่ใจดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงหันไปใช้วิธีธรรมชาติบำบัดกันอย่างแพร่หลาย

“Future History” แปลกใจ กับคำคำนี้ไหมคะ เมื่อคำว่า “ประวัติศาสตร์” ซึ่งมักเป็นเรื่อง “อดีต” แล้ว มันจะเป็น “อนาคต” ได้อย่างไร?

ช่วงนี้ประเด็นฮิตที่มักจะเห็น บ่อยๆ ตามหน้า Feed คือคำว่า New Normal มีนักคิดหลายสำนักต่างออกมาแสดงมุมมองเกี่ยวกับคำว่า “New Normal” หรือ “ความปกติใหม่” ว่าปรากฏการณ์วิถีชีวิตหลังโควิดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นเช่นไร มีหลายมุมมองน่าสนใจเกี่ยวกับ New Normal และบางมุมมองก็มองว่านี่เป็นเพียง New Abnormal

ทำให้ดิฉันนึกถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 มีอยู่วิชาหนึ่งชื่อ เตะตา “ประวัติศาสตร์อนาคต” หรือ “Future History” ของคณะศิลปศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประวัติศาสตร์มันเป็นอดีตแล้ว จะอนาคตได้อย่างไร ด้วยความสงสัยจึงลงเรียนวิชานี้ไปทั้งเทอม แม้เกรดจะออกมาไม่ดี แต่เชื่อว่าเราคงได้อะไรมาบ้างเพราะเวลาผ่านมา 20 กว่าปีแต่ดิฉันยังคงจำมันได้

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหลายอย่างเป็นตัวพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร สิ่งที่เคยเกิดแล้วในอดีตจะวนเวียนมาเกิดใหม่อีกครั้งในอนาคต หากกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ ก็จะบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เช่น แฟชั่นในอดีตที่เวียนกลับมาฮิตอีกครั้ง หรือการเกิดโรคระบาดที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน

จากประวัติศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ความเจริญรุ่งเรืองของยุคอุตสาหกรรม การพัฒนา เศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ผ่านมา เราเติบโตมากับยุคที่ให้ความสนใจกับเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การบริหารจัดการ การลงทุน การค้าระหว่างประเทศ คนงานเข้ามาทำงานในเมืองหลวงมากขึ้น พอคนมีเงิน จะเอาเงินไปซื้อบ้านในเมืองหลวง ซื้อรถยนต์ขับ เงินเหลือก็เอาไปลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมในเมือง คอนโดมิเนียมห้องเล็กๆ ในสุขุมวิทราคาพอๆ กับซื้อที่ดินเปล่าหลายสิบไร่ในต่างจังหวัด คนเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นคนมีสตางค์

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเราเริ่มเห็นเทรนด์ที่คนมีเงินหันกลับมาดำเนินชีวิตวิถีเกษตรกรรม ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น อยู่ตามไร่ ตามสวน เริ่มปลูกพืชผักกินเอง เลี้ยงม้า เลี้ยงไก่ สังคมทุนนิยมที่ผ่านมาให้คุณค่ากับ คนมีรถยนต์ มีคอนโดมิเนียมว่าเป็นคนมีเงิน ในขณะที่เกษตรกร คนทำฟาร์มทำสวน ถูกมองว่าเป็นคนจน

โลกกำลังจะเปลี่ยนไป สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอนาคตเวลาเห็นภาพคนขี่ม้า ใช้ชีวิตในฟาร์ม ทำสวน จะไม่ได้ถูกมองเป็นคนจนอีกต่อไป

บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป ร่วมมือกับสถาบัน The Futures Platform ประเทศ ฟินแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตศาสตร์ (Futurists) ทำการสำรวจออนไลน์ กับ CEO และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในประเทศไทยกว่า 300 คน เกี่ยวกับแนวโน้มของปรากฏการณ์โลกหลังโควิดที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นความปกติใหม่ (New Normal) หลังวิกฤติครั้งนี้

โดยมีปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกว่า Nature and Food as Remedies กล่าวคือ จากนี้ไปคนจะสนใจและใส่ใจดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ (Wellness) มากยิ่งขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแทนการกินยา และจะหันไปใช้วิธีธรรมชาติบำบัดกันอย่างแพร่หลาย

แน่นอนที่สุด Wellness ไม่ใช่เพียงการออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ หรือกินผักปลอดสารพิษ แต่เน้นการมีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี ด้วยการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ใช้ชีวิตให้สมดุล แม้จากนี้ไป Wellness จะถูกมองว่าเป็น New Normal แต่เอาจริงๆ ปรากฏการณ์ใหม่นี้ ก็คือปรากฏการณ์เก่าในอดีตที่วนเวียนมาเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคต

มันจะเป็น New Normal หรือ New Abnormal ก็ตาม สิ่งสำคัญคือวิกฤติในครั้งนี้ได้เปิดหูเปิดตาเราแต่ละคนให้ได้เรียนรู้อะไรบ้างไหม

ข้อคิดที่ดิฉันได้รับในฐานะเป็นหนึ่งในคนทำงานคนหนึ่งในช่วงวิกฤติคือ การกลับสู่ Basic การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ใช้ชีวิตอย่างสมดุล รู้จักคำว่าพอเพียง ประหยัดอดออม และให้เห็นความสำคัญ ของการพึ่งพาตนเองและชุมชน