MC อ่วม กำไรสุทธิ Q3/63 หดตัว 44%

MC อ่วม กำไรสุทธิ Q3/63 หดตัว 44%

แม็คกรุ๊ป รายงานไตรมาส 3/63 (ม.ค.-มี.ค.63) มีกำไร 77.58 ลบ. หรือลดลงกว่า 44% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุเศรษฐกิจชะลอตามการระบาดของโควิด-19 แต่ยังมั่นใจทั่งปีกำไรยังโตกว่าปีก่อน

นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 (ม.ค.-มี.ค.63) ว่ามีกำไรสุทธิ 77.58 ล้านบาท หรือลดลง 44% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 138.65 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน (มิ.ย.-มี.ค.63) มีกำไร 368.76 ล้านบาท หรือลดลง 12.7% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 422.4 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการขาย 744 ล้านบาท ปรับลดลง 14.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ของบริษัทฯ โดยเฉพาะสาขาและจุดจำหน่าย (Point of sale) ในศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้า ที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บริษัทฯมีรายได้ 565.3 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 11.9% เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกรอบปีบัญชี 2563 (ก.ค.62-มี.ค.63) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,633 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยหลังจากต้องปิดให้บริการ Point of sale ตามนโยบายของรัฐบาล บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ปรับไลน์การผลิต เพิ่มหน้ากาก และหมวกป้องกันเชื้อโรค พร้อมรุกหนักช่องทางการจำหน่ายออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นราว 76% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 84 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 ไว้ได้ที่ระดับ 57.1% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน

บริษัทฯ ได้ควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (SG&A) โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 อยู่ที่ 336 ล้านบาท ปรับลดลงเกือบ 10% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไร EBITDA (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 15.6% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 10.4%

นอกจากนี้ยังมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2563 จะสามารถทำกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น เทียบจากงวดปี 2562 ที่ทำได้ 306 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิแล้ว 369 ล้านบาท

“บริษัทฯ มองว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วงไตรมาส 3 บ้าง แต่มั่นใจว่า หลังสถานการณ์คลี่คลายลง ความต้องการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค จะพลิกกลับมาเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยชดเชยการชะลอตัวลงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้”