เด็กยากจนกว่า 66.4% หมดโอกาสเรียนต่อ หากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วย

เด็กยากจนกว่า 66.4% หมดโอกาสเรียนต่อ หากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วย

"ซูเปอร์โพล" เผยเด็กยากจนกว่า 66.4% หมดโอกาสเรียนต่อ หากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL)สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง เปิดใจเด็กยากจนช่วงลำบากโควิด-19 โดยดำเนินการเก็บข้อมูลแบบผสมผสาน (Mixed Method) ทั้งการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การลงพื้นที่ และการเก็บข้อมูลในโลกโซเชียลทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 553 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 เมษายน - 2พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา

จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าเด็กยากจนพิเศษช่วงลำบากโควิด-19 มีจำนวนมากถึง 732,843 คนทั่วประเทศโดยในขณะนี้ได้รับการดูแลช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐตาม พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และพบด้วยว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.6 ได้รับความช่วยเหลือเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพ อาหารการกินในชีวิตประจำวัน รองลงมาคือร้อยละ 43.9 ระบุได้รับอุปกรณ์การเรียนร้อยละ 23.7 ระบุพ่อแม่ได้รับเงินช่วยเหลือ มีงานทำ พัฒนาอาชีพ และร้อยละ 20.5 ระบุค่าเดินทางและอื่น ๆ

ที่น่าพิจารณาคือ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือดูแลจากหน่วยงานรัฐเข้ามาตอนนี้จะทำให้เกิดความทุกข์ยากมากน้อยเพียงไร ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.4 ระบุจะทุกข์ค่อนข้างมากถึงมากที่สุดในขณะที่ร้อยละ 19.6 จะทุกข์ค่อนข้างน้อยถึงไม่ทุกข์เลย

ที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐในตอนนี้ โอกาสที่จะเรียนต่อเป็นอย่างไรผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 66.4 ระบุเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนต่อ ในขณะที่ร้อยละ 33.6 ระบุเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 53.2 ของเด็กยากจนพิเศษ ระบุความช่วยเหลือดูแลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือนเกิดขึ้นในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่ร้อยละ 46.8 ระบุเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว

นอกจากนี้ น่าปลื้มที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.1 ของเด็กยากจนพิเศษตั้งใจจะช่วยเหลือดูแลผู้อื่นต่อไปให้มากที่สุดถ้าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตข้างหน้า

เด็กยากจนกว่า 66.4% หมดโอกาสเรียนต่อ หากรัฐบาลไม่เข้ามาช่วย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชี้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เด็กยากจนพิเศษจะเรียนต่อถ้าไม่มีหน่วยงานรัฐเข้าช่วยเหลือตอนนี้ หน่วยงานรัฐต่าง ๆ สามารถใช้ช่องทางของกฎหมายกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเข้าถึงพวกเขาได้อย่างเร่งด่วนโดยไม่ต้องรอให้พวกเขาร้องขอเพราะเสียงของพวกเขาไม่ได้ดังเหมือนเสียงของคนในโลกโซเชียลที่กำลังใช้โซเชียลมีเดียห้ำหั่นทำลายกันมากกว่าสร้างสรรค์ ถ้าผู้ใหญ่ในสังคมเห็นพ้องต้องกันเร่งพิสูจน์ตัวตนเด็กเหล่านี้ด้วย "ความเป็นคนไทยที่เสมอภาค" มากกว่าพิสูจน์กันด้วยความยากจน ผลที่ตามมาคือ เราจะสามารถรักษาอนาคตที่ดีของชาติเอาไว้ได้หลายแสนรายกระจายเป็นพลังบวกที่สำคัญของสังคมอยู่ทั่วประเทศ