ลุ้นคลาย Lockdown ระยะที่ 2

ลุ้นคลาย Lockdown ระยะที่ 2

ดัชนีวานนี้ปรับตัวร่วงกว่า 20.65 จุด คล้ายตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนลบ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด

นอกจากนี้ ภายในประเทศเผชิญปัจจัยกดดันจากการที่กกร.ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ SET Index ปิดที่ 1,257.98 จุด (-20.65 จุด) Volume 5.6 หมื่นลบ. ต่างชาติ -2,045.24 ลบ. TFEX Net -6,135 สัญญา ตราสารหนี้ -1,196 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 211.25 จุด +0.89% จากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากค่าสเปรดระหว่างบอนด์ยิลต์ 2 ปีและ 10 ปีขยายกว้างขึ้น แม้มีปัจจัยลบจากรายงานผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานในสหรัฐสูงเกินคาด

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 44 เซนต์ -1.8% ปิดที่ 23.55 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเฟดแสดงมุมมองลบเกี่ยวกับแนวโน้มศก.เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

-แบงก์ชาติอังกฤษคาด GDP ปีนี้หดตัว 14% แต่เชื่อจะฟื้นตัวปีหน้า มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงิน QE ที่เดิม ระบุพร้อมใช้มาตรการกระตุ้นศก.เพิ่มเติม

-กกร.ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เป็นหดตัว -3% ถึง -5% จากเดิมคาดโต 1.5-2% หลัง Q1/63 ติดลบกว่า -5%

+ศบค.เล็งปลดล็อกเฟส 2 เริ่ม 17 พ.ค.หลังประเมินผลเฟสแรกก่อนยกร่างเกณฑ์เสนอนายกฯ 14 พ.ค.นี้

+ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดบวก 297.32 จุด ตามทิศทางดาวโจนส์และความหวังคลายล็อกดาวน์

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 1.69 แสนลบ. ค่าเงินบาท 32.35 บาท/US

*จับตาสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค.

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาส Rebound ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ  หลังค่าสเปรดระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีและ 10 ปีขยายกว้างขึ้น ประกอบกับแรงหนุนจากความคาดหวังการผ่อนปรน Lockdown ระยะที่ 2 ของไทย ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,245-1,275 จุด

 

หุ้นรายงานพิเศษ

ARROW (“BUY” ราคาเหมาะสม 10.00 บาท) คาดกำไรสุทธิ 1Q20 ได้แรงหนุนจากราคาวัตถุดิบเหล็กที่ลดลง

เราคาดรายได้จากการดำเนินงานงวด 1Q20 ที่ระดับ 356.4 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 8.7%QoQ จากการตื่นตัวของผู้บริหารหลังทราบข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาเพื่อเร่งยอดขายตั้งแต่ช่วงปลายเดือนม.ค. แต่หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้ยังลดลงเล็กน้อย -1.7%YoY ในส่วนของ Gross Margin คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสู่ระดับ 27.0% จาก 24.6% ในไตรมาสก่อน และ 20.1% ใน 1Q19 แม้ค่าเงินบาทจะได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า แต่ได้แรงหนุนจากราคาวัตถุดิบเหล็กจากจีนที่ปรับตัวลดลงจาก 24-26 บาท/กก. ใน 4Q19 เหลือ 18-22 บาท/กก. ด้าน %SG&A /Sales คาดว่าจะสามารถรักษาระดับไว้ที่ 12.5-12.7% ได้ตามนโยบายของบริษัท นอกจากนั้นยังคาดว่าจะมีรายการพิเศษจากหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทย่อยเมฆา-เอส อีกราว 5 ล้านบาท  ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิ 1Q20 ราว 50.5 ล้านบาท ยังเติบโต +27.8%QoQ และ +18.6%YoY

ทิศทางผลประกอบการปี 20 มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน และโรงแรม ชะลอตัวลง ประกอบกับงานโครงการใหม่ๆจากภาครัฐอาจล่าช้ากว่าแผน จากความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีงานหลักที่เป็นงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่น  งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีชมพู และสายสีเหลือง ประกอบกับมียอด Backlog มีระดับสูงราว 1 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ตลอดทั้งปี เราคาดรายได้ปี 20 ราว 1,302.7 ล้านบาท ชะลอตัวลง -10.2%YoY ขณะที่ Gross Margin ปี 20 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 26.5% จาก  25.6% ในปีก่อน ตามทิศทางราคาวัตถุดิบเหล็กที่ลดลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 20 ที่ 182.2 ล้านบาท ลดลง -11.3%YoY

เราแนะนำ “ซื้อ โดยประเมินราคาเหมาะสมอิง PER ที่ 14 เท่า ภายใต้สมมติฐานประมาณการปี 20 ราคาเหมาะสมเท่ากับ 10.00 บาท งยังมี Upside จากราคาปัจจุบันราว 40%

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นได้ประโยชน์จากการ Work from home (ADVANC INTUCH DTAC TRUE JAS JASIF DIF COM7 SIS SYNEX)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการทยอยปลด Lockdown (BTS BTSGIF BEM CRC MC AU)
  • หุ้น mai ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลงอยู่ในธุรกิจขนส่ง (ATP30 VL SONIC AMA KIAT)
  • หุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ MSCI มีผล 29 พ.ค. (AWC TOA KTC)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการเปิดปลดล็อกดาวน์ในกลุ่มสีเหลือง (ความเสี่ยงปานกลาง) ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรด(CRC MBK CPN HMPRO DOHOME MC RSP COM7 JMART) ร้านอาหาร (AU M ZEN MINT) คลินิกทำฟัน (D LDC)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการปลดล็อกดาวน์ในกลุ่มสีแดง (ความเสี่ยงสูง) ได้แก่  โรงภาพยนตร์ (MAJOR) ร้านนวด (SPA) ศูนย์แสดงสินค้า (IMPACT)

หุ้นมีข่าว   

GPSC (ซื้อเมื่ออ่อนตัว Bloomberg Consensus 82) ประกาศงบ 1Q63 มีกำไร 1.58 พันล้านบาท 68%YoY และ +38%QoQ โดยรายได้เติบโต 102%YoY สู่ 1.8 หมื่นล้าบาทจากการรวมงบการเงินของ GLOW เข้ามา ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวลง อย่างไรก็ตามมีส่วนแบ่งผลขาดทุนจากบริษัทย่อย 68 ล้านบาท ซึ่งถูกดดันจากโรงไฟฟ้าไซยะบุรีจากภาวะน้ำแล้ง

ความเห็น เรามีมุมมองบวกผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้เนื่องจากคาดว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติและถ่านหินจะปรับตัวลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามด้านความต้องการใช้ไฟฟ้าถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เราจึงแนะนำให้ ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

IRPC (ลงทุนระยะยาว Bloomberg Consensus 2.61) เผย Q1/2563 ขาดทุน 8.9 พันล้านบาท เหตุจากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันกว่า 6.8 พันล้านบาท พร้อมประเมินผลงาน Q2/2563 ฟื้นตัว เพราะไม่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันก้อนใหญ่เหมือนในไตรมาสแรก

ความเห็น เราคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q63 และจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีหลังมีการปลดมาตรการ Lockdown และราคาน้ำมันเริ่มสร้างฐานที่ 25 $/bbl ได้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันและปิโตรเคมีจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงแนะนำ ลงทุนระยะยาว

PTTGC (ผ่านจุดต่ำสุด 1Q63 Bloomberg Consensus 39.29) คาดรายงานขาดทุน 1Q63 วันนี้ที่ -6.5 พันล้านบาท -202%YoY และ 1,853%QoQ โดยถูกกดดันจากผลขาดทุนของสต๊อกน้ำมันดิบ ค่าการกลั่นที่ปรับตัวลง และราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมัน

ความเห็น เราคาดว่าผลประกอบการใน 1Q63 จะเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้และจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบจะลดลงหลังราคาน้ำมันเริ่มสร้างฐานได้ที่ 25 $/bbl ขณะที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกเริ่มควบคุมได้ส่งผลให้อุปสงค์ในน้ำมันสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้

ADVANC (Bloomberg Consensus 238.55 บาท) ผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 เอไอเอส มีรายได้รวมอยู่ที่ 42,845 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,756 ล้านบาท โดยธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรายได้ลดลง -1.1%YoY เป็นผลจากการแข่งขันของอุตสาหกรรม ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวลดลง รวมถึง ยังได้รับผลจากมาตรการ ล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม ส่งผลให้ต้องปิดให้บริการชั่วคราว AIS Shop, Serenade Club และ AIS Telewiz ในพื้นที่ตามประกาศของภาครัฐ โดยมีผู้ใช้บริการรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 41.1 ล้านราย ยังคงมีฐานลูกค้าจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1

ความเห็น วันนี้อาจเห็นแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจาก ADVANC รายงานผลประกอบการออกมาต่ำกว่า Consensus ราว 12.4% แสดงให้เห็นถึงภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง

(+) ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เตรียมผ่อนปรนระยะที่ 2 กลุ่มห้างสรรพสินค้าเปิดบริการวันที่ 17 พ.ค.นี้ โบรกฯ คาดส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มศูนย์การค้าและร้านอาหาร ร้านค้าในห้างสรรพสินค้า แนะซื้อ CRC, CPN, HMPRO, DOHOME, GLOBAL, COM7, ZEN ส่วน MAJOR กลุ่มสุดท้ายเปิด มิ.ย. 63 (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) ORI (Bloomberg Consensus 6.75 บาท)  เผยยอดขายเม.ย.ทำนิวไฮ 1,700 ล้านบาท ดันยอดขาย 4 เดือนแรกพุ่งเกือบ 7,000 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 30% ของเป้าทั้งปี 21,000 ล้านบาท พร้อมรุกทำตลาดแบบอีคอมเมิร์ซ คงแผนเปิดใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท บุกตลาดแนวราบ หลัง Work From Home นาน เกิดความต้องการใหม่ (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) WICE (Bloomberg Consensus - บาท)  เข้าซื้อหุ้น WICE SG อีก 30% มูลค่า 120 ล้านบาท ดันสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มเป็น 100% คาดสร้างรายได้เพิ่ม 150 ล้านบาท/ปี เริ่มบุ๊กทันทีในไตรมาส 2/63 เชื่อช่วยหนุนรายได้รวมปี 63 แตะ 2,700 ล้านบาท โต 20% ตามแผน (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) JMT (Bloomberg Consensus 20.93 บาท)  เชื่อธุรกิจบริหารสินทรัพย์ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดซื้อหนี้เกือบหมื่นล้านบาทเสริมพอร์ต จากพอร์ตบริหารหนี้สะสมในปัจจุบันอยู่ที่ 177,000 ล้านบาท ฟากโบรกจับตาผลงานไตรมาส 1/2563 กำไรที่ 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.1% หนุนรายได้จากธุรกิจซื้อหนี้เสียที่สูงขึ้น (ที่มา ทันหุ้น)

(+) CPALL (Bloomberg Consensus 79.49 บาท)  ปิดดีลขยายสัญญาแฟรนไชส์ร้าน 7-Eleven ลงกัมพูชา ระยะเวลา 30 ปี มีสิทธิต่อสัญญาได้อีก 40 ปี ด้านบรมครู VI ดร.นิเวศน์ เชื่อปลดล็อกเติบโตระยะยาว ชี้เป็นดินแดนแข่งได้ แถมเปิดโอกาสสู่ลาว-เมียนมา มอง CPALL เครื่องมือครบสู้ดิสรัปได้ ด้านโบรกชี้ GDP เกิน 6% หนุน คาดเปิดสาขาในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า (ที่มา ทันหุ้น)

(+) MGT (ราคาเหมาะสม 2.66 บาท)    เตรียมชงบอร์ดลุยธุรกิจใหม่ เบื้องต้นคาดใช้งบ 50 ล้านบาท เชื่อหนุนมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ฟากบอสใหญ่ "วิทยา อินาลา" ส่งสัญญาณครึ่งปีแรกสดใส หลัง 4 เดือนยอดขายเคมีภัณฑ์ อาหาร ยา เครื่องสำอางบูม แถมบริษัทย่อยมีออเดอร์เอทานอลพุ่งขึ้นเท่าตัว ปักธงยอดขายรวมปี 63 มาตามนัด 950 ล้านบาท (ที่มา ทันหุ้น)

(+) TRT (Bloomberg Consensus - บาท)  ผู้ส่อแววครึ่งปีหลังผลงานโดดเด่น เตรียมส่งมอบสินค้าให้ TOP ในช่วงไตรมาส 3-4 นี้หลังต้นปีกวาดงานเข้าพอร์ตได้ 725 ล้านบาท หนุนแบ็กล็อกแน่น 2.6 พันล้านบาท แย้มอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานใหม่อีก 2 พันล้านบาท คาดคว้าได้งาน 20-25% (ที่มา ทันหุ้น)

HMPRO Conference Call (“ถือ” ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 14.77) ผู้บริหารชี้แจงถึงกลยุทธ์การขายในช่วง lockdown ปรับสู่การขายออนไลน์ ส่งผลให้ในช่วง 1Q63 มียอดขายจากช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 200% ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้น 215% อย่างไรก็ดี ยอดขายรวมลดลง 7% โดยมี SSSG ติดลบ

6.1% แต่ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับดีโดยมี %GP ปรับขึ้นสู่ 25.7% จาก 25% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนจากสัดส่วนสินค้าของบริษัทที่ยังไต่ระดับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การบริหารสภาพคล่องจากการใช้วงเงินสินเชื่อส่งผลให้ D/E พุ่งขึ้นสู่ 1.15 เท่าเป็นการชั่วคราว

ความเห็น ภาพรวมผลการดำเนินงานในระยะสั้นถูกกระทบจากมาตรการ lockdown จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวและโอกาสเติบโตของยอดขายจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์และไลฟ์สไตล์ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับ wfh และการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาที่จะกลายเป็น new normal

 

LPN Conference Call (“ถือ” ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 4.03) รายงาน 1Q63 มีกำไรสุทธิ 217 ล้านบาท -38%YoY เนื่องจาก 1) รายได้รวม ลดลง 35% จากการโอนโครงการได้ลดลง ทำได้เพียง 18.5% ของเป้าที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้เช่าเติบโต 42% จากการนำโครงการมาปล่อยเช่า 2) อัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 32.7% จาก 34.8% เมื่อเทียบกับเป้าหมายยอดขาย presale ทำได้ 2,620 ลบ.คิดเป็น 26% รายได้ 1,850 ลบ. คิดเป็น 19% ปลายงวดมี backlog 3,079 ลบ. ส่วนที่จะโอนภายในปีนี้มีจำนวน 2,232 ลบ.

ความเห็น กำไรต่ำกว่าคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ราว 4% โดยคิดเป็น 24% ของประมาณการที่ราว 897 ลบ. บริษัทปรับกลยุทธ์นำโครงการเพื่อขายบางส่วนมาให้เช่ารับมือ ปลายมี.ค.63 มีสินค้าคงเหลือ 1.8 หมื่นลบ. คิดเป็น 76% ของสินทรัพย์รวม IAA consensus คาด yield เฉลี่ย 9.9% เหมาะถือลงทุนรับเงินปันผล