ศึกในสภาร้อน นอกสภาเดือด เกมคู่ขนาน 'คณะก้าวหน้า'

ศึกในสภาร้อน นอกสภาเดือด เกมคู่ขนาน 'คณะก้าวหน้า'

อีกไม่กี่อึดใจ สมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ปีที่สอง ก็จะเริ่มขึ้นในวันที่ 22 พ.ค. ซึ่งตามกำหนดการที่ ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ วางไว้ จะประชุมสภาฯนัดแรกได้ในวันที่ 27 พ.ค.

โดยเรื่องที่จะมีการพิจารณา คือ พระราชกำหนดที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้ไปจำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563

2.พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563

3.พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563

และ 4.พระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563

ตามขั้นตอน หากผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ จะต้องส่งไปให้วุฒิสภาลงมติอนุมัติให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

ด้วยเสียงของรัฐบาล ที่มีอยู่ในสภา 277 เสียง กับความเป็นเอกภาพของ ส.ว.ที่มีความเข้มแข็งมาตั้งแต่แรกเริ่ม คงไม่เกิดเหตุการณ์ล่มปากอ่าว จนสภาต้องล่มมาแล้วถึงสองครั้งสองคราอย่างแน่นอน

ฝ่ายค้านแทบจะเร่งวันเร่งคืน ให้เปิดสภาโดยเร็ว เพราะต้องการเปิดปฏิทินสภา ด้วยการขยายแผลและตอกย้ำรอยแผลของรัฐบาลให้ชัดเจนมากที่สุด จึงได้เตรียมประเด็นและความพร้อมเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคเสรีรวมไทย

พรรคเพื่อไทย ด้านหนึ่งต้องการแก้มือจากถูกสบประมาทว่า เป็นมวยล้มต้มคนดู เมื่อครั้งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงได้พยายามประชุมเป็นการภายใน เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนให้มากที่สุด 

โดยเน้นมาตรการเยียวยา ซึ่งเป็นความล้มเหลวที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยจะขยายแผลในเรื่องนี้กลางสภา

ส่วนพรรคก้าวไกล เป็นอีกพรรคที่ต้องการ แก้มือ หลังจากถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเตะตัดขา จนไม่ได้ซักฟอก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ

ครั้งนี้เตรียมแนวทางการอภิปราย ด้วยการคงคอนเซปต์ ‘เร็ว-แรง-ตรง’ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยจะเน้นการนำเสนอเนื้อหา 2 ส่วน คู่ขนานกันไป คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และความไม่โปร่งใสในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อย่าง การกักตุนหน้ากากอนามัย

ในส่วนแรก ตัวชูโรงหลัก คือ ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนในประเด็นการทุจริต จะเป็นหน้าที่หลักของ ‘ธีรัจชัย พันธุมาศส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็น ส.ส.ที่จับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น โดยมีข้อมูลมากพอที่จะนำมาตีแผ่กลางสภาได้

ด้าน พรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค เป็นอีกพรรคหนึ่งที่ลงพื้นที่พบประชาชน เพื่อเก็บคะแนนอย่างต่อเนื่อง

จะสังเกตเห็นได้ว่า ระยะหลังมานี้ การแสดงความคิดเห็นของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ได้เน้นหนักในเรื่องการเมือง หรือการมุ่งโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เหมือนในอดีต แต่วิจารณ์ไปที่การทำงานของรัฐบาลมากขึ้น

ศึกนี้ อาจไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานะรัฐบาล แต่คงปฏิเสธการอภิปรายจากในสภา น่าจะเป็นแรงส่งให้ ฝ่ายค้านนอกสภาแรงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ คณะก้าวหน้าที่มี "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เป็นแกนนำ ประกาศแล้วว่า หลังโควิดเจอกัน” !