‘ปิดทองหลังพระ’เร่งพัฒนาแหล่งน้ำ-จ้างงาน ลดผลกระทบชนบทช่วงโควิด-19

‘ปิดทองหลังพระ’เร่งพัฒนาแหล่งน้ำ-จ้างงาน  ลดผลกระทบชนบทช่วงโควิด-19

“ปิดทองหลังพระ" จับมือกระทรวงเกษตรฯ-มหาดไทย และภาคเอกชนเร่งทำโครงการลดผลกระทบจากโควิด-19 พัฒนาแหล่งน้ำ ฝึกอบรมเกษตรกรใน 3 จังหวัดภาคอีสานช่วยให้ประชาชน 3,800 ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มปีละ 140 ล้านบาทแนะแนวทางสร้างงานยั่งยืน

ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อบรรเทาทุกข์ผู้ตกงานจากภัยโควิด-19 ว่ามูลนิธิฯ ยึดแนวทางบูรณาการกับภาคีในรูปแบบสี่ประสาน คือ ราชการ เอกชน ประชาชนและมูลนิธิฯ ในฐานะผู้ริเริ่มและประสานแผน จึงทำให้โครงการต่าง ๆ เริ่มได้รวดเร็วและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเบื้องต้น คือการสร้างงานรองรับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยนำมาผนวกกับการแก้ปัญหาภัยแล้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การลงทุน

“ในเวลาเดือนเดียวที่มูลนิธิฯ ตัดสินใจจะทำ ก็ได้รับความร่วมมือจากภาคีต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาด ไทย กระทรวงเกษตรฯ เอกชนและประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันสำรวจแหล่งน้ำต้นทุน สำรวจความคิดเห็นของชาว บ้าน และข้อมูลตลาดสินค้า ทำให้ทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจ จึงมั่นใจว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร”

โดยในระยะที่หนึ่งของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากนี้ จะส่งเสริมการมีงานทำด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำ 116 แห่งในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ซึ่งในปัจจุบันมีความ ก้าวหน้าและเริ่มการพัฒนาแล้ว 83 โครงการ โดยช่วงที่มีปัญหามาก ๆ อย่างตอนนี้ ประชาชนจะเห็นว่าพระราชดำริช่วยได้จริง ๆ โครงการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เกษตร เอกชน มาร่วมมือกับชาวบ้านทั้งที่ตกงานจากโควิด-19 แล้วมาทำงานหารายได้ยังชีพ 350 คนกับชาวบ้านอีกเกือบ 4,000 คนที่อาสามาทำงานเพราะเขารู้ว่าเมื่อมีน้ำแล้ว เขาเองจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีเอกภาพและทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ทั้งระดับชุมชน ท้องถิ่นและระดับประเทศ”

158882960384

โครงการแหล่งน้ำทั้ง 83 แห่ง ครอบคลุม 34 อำเภอ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วพบว่า ทำให้เกษตรกร 3,844 ครัวเรือน จะมีน้ำเพียงพอเพื่อการเกษตร คือเพิ่มขึ้น 15.2 ล้านลูกบาศก์เมตร กระจายน้ำได้ครอบคลุม 20,249 ไร่ซึ่งจากการวิจัยพบว่าเมื่อมีน้ำเพียงพอ รายได้ของชาวบ้านจะเพิ่มขึ้นไร่ละ 7,000 บาท คือ จากข้าวประมาณ 2,000 บาทและจากพืชหลังนาอีก 5,000 บาท การพัฒนาแหล่งน้ำ 83 แห่งนี้ก็จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 141 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนรวมเพียง 53 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแห่งละ 650,000 บาทเท่านั้น 

นอกจากการพัฒนาแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำแล้ว มูลนิธิฯ ยังจะร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ และภาคเอกชน ในการส่งเสริมการเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม ตรงความต้องการของตลาดอีกด้วย จึงจะทำให้เกิดคุณ ประโยชน์หลัก ๆ สามด้าน คือ เกิดระบบกระจายน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาชีพเกษตร เกิดธุรกิจใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตรงความต้องการของตลาด และเกิดความรู้เพื่อให้ท้องถิ่นและชุมชนพัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

“การระบาดของโควิด-19 มาซ้ำเติมความแห้งแล้งรุนแรงที่สุดใน 40 ปี เราต้องยอมเหนื่อยกัน แต่เมื่อรัฐบาลเตรียมกระตุ้นการพัฒนาแหล่งน้ำและการเกษตร ผมก็คิดว่าแนวทางที่เราทำกันอยู่นี้จะทำให้กระตุ้นได้ผลเต็มที่และยั่งยืนด้วย”

นายธวัชชัย เนียมศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า “โครงการที่มาร่วมกันทำนี้สามารถทำให้เกิดอาชีพที่มั่นคงระยะยาวแก่ชาวบ้านได้ เป็นการทำแบบเล็กไปหาใหญ่ ผมจึงขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยเข้ามาร่วม เพื่อเป็นการเรียนรู้รูปแบบของงานเพื่อให้กาฬสินธุ์ขยายงานต่อไปได้เอง”

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่าขอนแก่นมีแนวทางชัดเจนที่จะต่อยอดการพัฒนาแหล่งน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยได้มอบให้หน่วยราชการต่าง ๆ เข้ามามีบทบาท เช่น เกษตรฯ จะเข้ามาสนับสนุนทั้งในเรื่องเมล็ดพันธุ์และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาอาชีพให้เกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า โครงการที่จังหวัดเข้ามาร่วมงานด้วยนี้ไม่เพียงจะบรรเทาทุกข์คนตกงานจากโควิด-19 เท่านั้น แต่เป็นโครงการพัฒนาอาชีพที่จะมีความยั่งยืนตามแนวพระราชดำริได้ต่อไป เพราะสามารถแก้ปัญหาน้ำพร้อมกับเสริมความสามารถทางอาชีพให้แก่ประชาชนไปพร้อม ๆ กัน

158882969431