LH - PSH นำหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ลงเช้านี้ โบรกคาดกำไรปี 63 ต่ำสุดรอบ 7 ปี

LH - PSH นำหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ลงเช้านี้ โบรกคาดกำไรปี 63 ต่ำสุดรอบ 7 ปี

หุ้นกลุ่มอสังหาฯ กดดัชนีมากสุดเช้านี้ นำโดย 2 หุ้นใหญ่ในกลุ่มอย่าง LH ปรับตัวลงราว 7% หลังขึ้น XD ขณะที่ PSH ลดลงเกือบราว 3% ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินกำไรรวมของกลุ่มปีนี้ต่ำสุดในรอบ 7 ปี

ความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช้านี้ (7 พ.ค.) เป็นกลุ่มที่กดดันดัชนี SET ให้ปรับตัวลดลงมากที่สุด โดยมีกระทบต่อ SET ราว 1.9 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยเฉพาะ LH ที่ปรับตัวลดลงราว 7% ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากการขึ้นเครื่องหมาย XD สำหรับการจ่ายเงินปันผล 0.40 บาทต่อหุ้น แต่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาถึง 0.6 บาท ขณะที่ PSH ปรับตัวลดลงราว 3% โดยแรงขายที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่่มขึ้นเท่าตัวจากค่าเฉลี่ย 5 วันก่อนหน้า

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า คงน้ำหนักอ่อนแอกว่าตลาดสำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยประเมินทั้งยอดขาย (presale), ยอดโอน (transfer) และกำไรสุทธิ (net profit) ลดลง 11%, 10% และ 23% จากปีก่อน ตามลำดับ และคาดกำไรสุทธิปี 2563 นี้ จะต่ำสุดในรอบ 7 ปี หลังเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2544 - 2545 โดยภาพรวมกลุ่มมีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อที่ลดลงทั้งไทยและต่างชาติเพราะ COVID-19, มาตรการ LTV รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร

ถึงแม้ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะลดลงกว่า 20% และค่า P/E ของกลุ่มลดลงมาอยู่ที่ 7.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่มาก เราจึงแนะนำ "ชะลอการลงทุน" จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยคาดอัตราเงินปันผลของกลุ่มที่สูงเฉลี่ย 7.5% เป็นตัวประคับประคองราคาหุ้น

ด้าน บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ที่ 1 พันล้านบาท ลดลง 42.6% จากปีก่อน หดตัวลงจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1) คาดยอดโอนที่ 5.2 พันล้านบาท ลดลง 9% จากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงปลายไตรมาส 2) คาดรายได้จากธุรกิจให้เช่าหดตัวลง 13% จากอัตราเข้าพักของธุรกิจโรงแรมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียงระดับต่ำกว่า 10% ในช่วงปลายเดือน มี.ค. 2563 และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลงจาก HMPRO ที่โดนผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า จึงเหลือช่องทางการขายผ่านสื่อออนไลน์เท่านั้น อีกทั้ง QH ที่ยอดโอนโครงการในไตรมาสแรกชะลอตัว และ LHFG ที่ผลิกมาเป็นขาดทุนกว่า 709 ล้านบาท ในไตรมาสแรก จากกำไรที่ 806 ล้านบาท เมื่อปีก่อน จากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี และการตั้งสำรองพิเศษภายใต้ TFRS 9 ทำให้เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในไตรมาสแรก ทำได้เพียง 318 ล้านบาท หดตัวลงกว่า 63%