MAJOR - ถือ

MAJOR - ถือ

จะพลิกเป็นขาดทุนใน 1Q63

Event

MAJOR ประกาศว่าจะขยายเวลาการปิดโรงภาพยนตร์ทุกสาขาต่อไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อให้เป็นไปตาม พรก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีการขยายระยะเวลาบังคับใช้ออกไปอีกหนึ่งเดือนจนถึงสิ้นเดือน พฤษภาคม 2563

lmpact

คาดว่าผลการดำเนินงานหลักใน 1Q63 จะพลิกเป็นขาดทุน

เราคาดว่า MAJOR จะมีผลขาดทุนหลัก 229 ล้านบาทใน 1Q63 แย่ลงจากใน 1Q62 และ 4Q62 ที่มีกำไรหลัก 182 ล้านบาท และ 264 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากคาดรายได้ในช่วง 1Q63 จะลดลงเหลือ 1.3พันล้านบาท (-51% QoQ, -45% YoY) จากการลดลงของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเราคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์ (ธุรกิจหลัก) จะลดลงเหลือ 925 ล้านบาท (-54% QoQ, -47% YoY) เพราะถูกกดดันจากการระบาดของ COVID-19 และคำสั่งของรัฐบาลที่ให้ปิดสถานบันเทิงชั่วคราว ซึ่งรวมถึงโรงภาพยนตร์ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 นอกจากนี้เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาจะลดลงเหลือ 213 ล้านบาท (-49% QoQ, -45% YoY) ทั้งนี้ เราคาดว่า MAJOR น่าจะขาดทุนสุทธิใน 1Q63 หนักกว่าผลขาดทุนหลักที่ 229 ล้านบาท เพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการเริ่มใช้มาตรฐานบัญชี IFRS 9 และ IFRS 16

คาดจะยังขาดทุนต่อเนื่องใน 2Q63 แต่จะการขาดทุนจะลดลง

จากการขยายพรก. ฉุกเฉิน ออกไปอีก MAJOR จึงน่าจะยังคงมีผลขาดทุนหลักต่อเนื่องอีกใน 2Q63 แต่จะไม่ขาดทุนมากเท่ากับ 1Q63 เนื่องจากต้นทุนมีแนวโน้มจะลดลง โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถประหยัดต้นทุนได้จาก i) การจ่ายค่าเช่าเพียงแค่เดือนเดียว (มิถุนายน 2563) จากที่ต้องจ่ายค่าเช่าประมาณ
2.5 เดือนใน 1Q63 ii) น่าจะมีการลดต้นทุนพนักงานลงได้อีกประมาณ 50% QoQ ทั้งนี้หากมีการยกเลิกพรก. ฉุกเฉินในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2563 และผลประกอบการค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ 3Q63 เป็นต้นไปก่อนที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดจะเพิ่มขึ้น และโปรแกรม

หนังเด็ดจากฮอลลีวู้ดที่ถูกเลื่อนมาจากปี 2563

ปรับลดประมาณการปี 2563-64 ลงเพื่อสะท้อนระยะเวลาการใช้มาตรการ lockdown ที่นานกว่าคาดเราปรับลดประมาณการปี 2563-64 ลง โดย i) ปรับลดประมาณการรายได้ปี 2563-64 ลงจากเดิม 35%และ 20% ตามลำดับ จากการปรับลดประมาณการรายได้จากโรงภาพยนตร์ลงเพื่อสะท้อนถึงระยะเวลา
การใช้มาตรการ lockdown ที่นานกว่าที่คาดไว้ และ ii) ปรับลดประมาณการต้นทุนปี 2563 ลง 26% และปี 2564 ลง 20% เพื่อสะท้อนถึงการที่บริษัทใช้แผนประหยัดต้นทุน ซึ่งหลังจากปรับประมาณการใหม่แล้ว เราคาดว่าผลประกอบการในปี 2563 จะลดลงจากเดิมที่เราคาดว่าจะมีกำไรหลัก 709 ล้านบาท เป็น
ขาดทุนหลัก 367 ล้านบาท ขณะที่คาดว่ากำไรหลักในปี 2564 จะลดลงจากเดิม 35% เหลือ 730 ล้านบาท

Valuation & Action

ภายใต้ประมาณการใหม่ เราได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายสำหรับ 1H64 ที่ 14.90 บาท (DCF, WACC ที่ 7.2%) เรายังคงคำแนะนำ ถือ MAJOR เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 พร้อมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงจูงใจที่ 5.3%

Risks

รายได้จากโรงภาพยนตร์ต่ำกว่าที่คาดไว้