มุมมองเศรษฐศาสตร์ ต่อมาตรการล็อกดาวน์

มุมมองเศรษฐศาสตร์ ต่อมาตรการล็อกดาวน์

จากงานวิจัยมาตรการที่ไม่ใช้ยาในวิกฤติไข้หวันสเปนของสหรัฐ เมื่อเทียบเคียงมาตรการล็อกดาวน์ไทยแล้ว มีทิศทางว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นเพียงระยะสั้น คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่น่าจะไม่มีการทำจุดต่ำใหม่อีก

ความคาดหวังเรื่องการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง เป็น ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการวิเคราะห์ต่อยอดว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเป็นไปในทิศทางใด หลังการผ่อนคลายมาตรการ ซึ่งในบทความฉบับนี้ผมจะขอหยิบยกฃงานวิจัยทางวิชาการของ Correia S., Luck S., Verner E., 2020, Pandemics depress the economy, public health interventions do not: evidence from the 1918 flu ที่เพิ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.ssrn.com และมียอดดาวน์โหลดสูงหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง

ซึ่งในงานวิจัยดังกล่าว มีการศึกษาผลกระทบของการใช้มาตรการ Non Pharmaceutical Intervention (NPI) หรือหากแปลตรงตัวก็คือ “มาตรการที่ไม่ใช้ยา” ซึ่งก็คือ มาตรการที่ภาครัฐใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ มาตรการ Social distancing นั่นเอง ต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐในแต่ละรัฐ ภายหลังการเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปนปี 1918 

งานวิจัยดังกล่าวใช้ฐานข้อมูลในสหรัฐ แบ่งเป็นแต่ละเมือง (มลรัฐ) โดยเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนปี 1918 ผลการศึกษา พบว่า i) เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรงในช่วงการแพร่ระบาดของโรค และผลการศึกษาที่น่าสนใจคือ ii) เมื่อมีการศึกษาเปรียบเทียบลงในรายละเอียด ว่าเมือง (มลรัฐ) ใดในสหรัฐตัดสินใจทำการใช้มาตรการ NPI (สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันก็คือมาตรการล็อกดาวน์) ยิ่งตัดสินใจเร็วเมื่อพบการแพร่ระบาดของโรค และยิ่งใช้มาตรการที่เข้มข้น เศรษฐกิจของเมือง (มลรัฐ) นั้นจะฟื้นตัวได้แข็งแกร่งภาย หลังที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีกว่าเมือง (มลรัฐ) ที่ตัดสินใจใช้มาตรการ NPI ช้ากว่า

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษานี้ในส่วนของการชะลอตัวและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้น อาจมีผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดที่อาจทำให้ผลลัพธ์ แตกต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี เรามีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในสถานการณ์ ที่ประเทศจีน ที่มีการตัดสินใจบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ค่อนข้างเร็วและเข้มข้นมาก ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการ ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนเองก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

กลับมาที่สถานการณ์ในประเทศไทยหากอ้างอิงจากผลการศึกษาวิจัยข้างต้น การใช้มาตรการล็อกดาวน์ของไทย ถือว่าเข้มข้นในระดับที่สามารถควบคุมการแพร่ ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสเช่นกัน

ดังนั้น ผมเชื่อว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้นั้น น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น และคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ภาย หลังที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเริ่มทำการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยคาดว่าภาคธุรกิจที่จะเริ่มฟื้นตัวได้ก่อน จะเป็นการบริโภคในประเทศ หลังจากที่เริ่มผ่อนคลายการเปิดร้านค้าบางประเภท และคาดหวังว่าหากสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีต่อเนื่อง จะเริ่มทยอยผ่อนปรนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เป็นขั้นตอนต่อไป

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เมื่อพิจารณาจากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะเกิดขึ้นระยะสั้น (กรณีที่ไม่เกิดการแพร่ระบาดซ้ำอีกครั้ง หลังผ่อนคลายมาตรการ) ทำให้นักลงทุนมองไปถึง Valuation บนฐานกำไรปี 2564 ที่คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับปกติได้ โดย Bloomberg consensus คาดกำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS ของดัชนี SET index ปี 2563 และ ปี 2564 ล่าสุดเท่ากับ 74.2 บาท และ 89.2 บาท ตามลำดับ 

หากคิดเป็น PE ratio จะได้เท่ากับ 17.2 เท่า และ 14.2 เท่า ตามลำดับ (ขณะเขียนบทความ SET index ปิดที่ 1,275 จุด) ซึ่งคำถามที่สำคัญคือ การมองไปยัง Valuation ปี 2564 ณ ตอนนี้ เป็นการเปลี่ยนไปใช้ Valuation ปีหน้าเร็วไปหรือไม่ เพราะหากเป็นสถานการณ์ปกตินักวิเคราะห์ มักที่จะทำการปรับไปใช้ Valuation ปีถัดไปเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 

อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่า หากสมมติฐานต่างๆ เป็นตามที่ประเมินข้างต้น แม้ Valuation ปีนี้จะ “ไม่ถูก” แล้วก็ตาม แต่ตลาดหุ้นไทยน่าจะไม่มีการทำจุดต่ำใหม่อีก แม้ตลาดจะมีการพักฐานอีกครั้งก็ตาม

ดังนั้นสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย การพักฐานภายหลังการรายงานผลการดำเนินงาน 1Q63 ที่อ่อนแอ (รายงานสุดท้าย ไม่เกินกลางเดือน พ.ค.นี้) หรือตัวเลข GDP 1Q63 ที่อ่อนแอ (จะรายงานในช่วงกลางเดือน พ.ค.) จะเป็นโอกาสในการเข้าช้อนซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี และ Valuation ยังไม่แพงเกินไปนัก อีกครั้ง หรือสำหรับการเก็งกำไรสั้น อาจพิจารณาไปที่หุ้นกลุ่มที่จะได้รับ Sentiment บวกจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ อาทิ หุ้นกลุ่มขนส่ง หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้น กลุ่มอาหาร เป็นต้น