ตลาด 'เงินดิจิทัล' คึกคัก จับตา 'ดิจิทัลหยวน-ลิบรา 2.0' ปลุกวงการตื่นตัว

ตลาด 'เงินดิจิทัล' คึกคัก จับตา 'ดิจิทัลหยวน-ลิบรา 2.0' ปลุกวงการตื่นตัว

วงการเงินดิจิทัล ฟันธง ตลาดเงินดิจิทัลส่อกลับมาคึกคัก หลังจีนเปิดตัว “ดิจิทัลหยวน” ดึงเอกชนยักษ์ใหม่จากสหรัฐร่วมทดสอบระบบ ขณะ “เฟสบุ๊ค” เปิดตัว “ลิบรา 2.0” ด้าน “จิรายุส” ชี้วงการเงินดิจิทัลหลังโควิดมีแต่เรื่องน่าตื่นเต้น

ตลาดเงินดิจิทัลกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากทางการจีนเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล หรือ “ดิจิทัลหยวน” โดยมีบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่จากสหรัฐเข้าร่วมทดสอบระบบด้วย เช่น สตาร์บัค แมคโดนัล และ ซับเวย์ ขณะเดียวกันทาง “เฟสบุ๊ค” ได้ประกาศไวเปเปอร์ฉบับใหม่ของ “ลิบรา” เป็นเวอร์ชั่น 2.0 สะท้อนว่า เฟสบุ๊ค ยังคงเดินหน้าผลักดันโครงการเงินดิจิทัลในนาม ลิบรา อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีพันธมิตรหลายแห่งขอถอนตัวออกไป ทั้งหมดนี้ทำให้ตลาดเงินดิจิทัลเริ่มกลับสู่ความสนใจของผู้คนในแวดวงการเงินอีกครั้ง 

นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ยังเป็นตัวเร่งให้ “สังคมไร้เงินสด” มาเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เนื่องจากพฤติกรรมผู้คนที่กังวลต่อการหยิบจับธนบัตร อีกทั้งการสั่งสินค้าก็นิยมทำผ่านออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นในอนาคต “เงินดิจิทัล” จึงอาจเป็นอีกทางเลือกใหม่ของผู้คนในโลกยุคหลังโควิด

“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งเว็บซื้อขายเงินดิจิทัล Bitkub.com กล่าวว่า หลังวิกฤติโควิด ตลาดเงินดิจิทัลจะมีแต่เรื่อง “ตื่นเต้น” และมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก ส่วนตลาดเงินดิจิทัลในไทยจะเติบโตได้หรือไม่คงต้องขึ้นกับภาครัฐว่าจะตามทันและปลดล็อกกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่

สำหรับปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้ตลาดเงินดิจิทัลของโลกเติบโตเร็ว มาจาก 3 เรื่องหลัก คือ การเปิดตัวดิจิทัลหยวนของรัฐบาลจีน ซึ่งตอนนี้เริ่มทดสอบใน 4 มณฑลหลักแล้ว โดยรัฐบาลจีนจ่ายเงินเดือนให้กับข้าราชการในรูปของเงินดิจิทัล 50% ของเงินเดือน ส่วนอีก 50% จ่ายเป็นเงินหยวน

ปัจจัยที่สอง คือ การเปิดตัว “ลิบรา 2.0” ของทางเฟสบุ๊ค ซึ่งเฟสบุ๊คได้ออกไวเปเปอร์ใหม่ โดยคาดว่าเงิน ลิบราจะสามารถนำมาใช้ได้ในช่วงปลายปีนี้ 

“หากสองสกุลเงินนี้ออกมาได้สำเร็จ จำนวนผู้ใช้ก็คาดว่าจะครอบคลุมคนกว่าครึ่งโลกแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้คนรู้จักเงินดิจิทัลมากขึ้น บางคนอาจเริ่มใช้โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าก็ได้”

ส่วนปัจจัยสุดท้าย คือ ราคาบิทคอยน์ที่ปรับขึ้นร้อนแรง หลังนักลงทุนเก็งกำไรข่าวเรื่อง Halving โดยหลังวันที่ 10 พ.ค.นี้ บิทคอยน์จะเข้าสู่ยุค 6.25 BTC ในทุกๆ 10 นาที เนื่องจากการผลิตบิทคอยน์จะลดลงครึ่งหนึ่งในทุก 4 ปี จากปัจจุบันที่เป็นยุค 12.5 BTC ในทุกๆ 10 นาที ซึ่งการปรับขึ้นของบิทคอยน์หนุนให้ตลาดเงินดิจิทัลคึกคักมากขึ้น และการเคลื่อนไหวของบิทคอยน์ถือเป็นวัฎจักรมีขึ้นลง และทุก 2 ปีมักทำนิวไฮใหม่เสมอ

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดเงินดิจิทัลในไทย ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงปัจจุบันยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในส่วนของ Bitkub.com มีคนที่มาเปิดบัญชีใหม่อย่างต่อเนื่อง และมูลค่าการซื้อขายก็ไม่ได้แตกต่างจากช่วงก่อนเกิดโควิด ในขณะที่จำนวนผู้เล่นรายใหม่จากทั้งตลาดหลักทรัพย์และวงการเกมก็เข้ามาลงทุนในตลาดนี้มากขึ้น 

“วงการนี้เราทำทุกอย่างบนออนไลน์ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิดที่ผู้คนต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม”

“ปรมินทร์ อินโสม” ซีอีโอ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น วิเคราะห์ว่า ทั้งดิจิทัลหยวนและลิบรา 2.0 จะเป็นตัวกระตุ้น ที่ทำให้คนรู้จักเงินดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันวิกฤติโควิดก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนหันมาสนใจเงินดิจิทัลมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามพัฒนาการของเงินดิจิทัลในไทย อาจจะเดินไปช้ากว่าตลาดเงินดิจิทัลในภาพรวม เนื่องจากภาครัฐคงไม่อยากให้เงินดิจิทัลเกิดขึ้น ดังนั้นอุตสาหกรรมเงินดิจิทัลจึงยังต้องรอการพิสูจน์

“ตลาดเงินดิจิทัลยังต้องใช้เวลาอีกระยะเพื่อพัฒนาไปข้างหน้าถึงจะทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งพัฒนาการของตลาดเงินดิจิทัลในไทยคงจะเดินไปช้ากว่าภาพรวมอุตสาหกรรม เพราะภาครัฐคงไม่อยากให้เกิดเท่าไรนัก”

สำหรับตลาดการลงทุนในเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์นั้น เขาประเมินว่า สถานการณ์ของโรคโควิดอาจจะลากยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งก็น่าจะทำให้คนหันมาสนใจการลงทุนในเงินดิจิทัลมากขึ้นเพื่อหวังเก็งกำไรระยะสั้น เพราะถ้ามองไปในช่วง 2 ปีข้างหน้า บิทคอยน์ มีโอกาสขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่เหมือนเมื่อ 2 ปี ก่อนที่ระดับ 2 หมื่นดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ 

"วัฏจักรเงินดิจิทัลมีการทำจุดสูงสุดใหม่มาแล้ว 2 รอบ  โดยหลังจากที่บิทคอยน์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2551  ในปี 2556 ราคาก็ปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบแรก และหลังจากนั้นเมื่อปี 2560 ราคาก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ รอบหน้าตลาดเก็งกันว่าในปีหน้า(2564) ตลาดน่าจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง แต่พอปีนี้เกิดวิกฤติโควิดขึ้นก่อน และก็ได้พิสูจน์แล้วว่า บิทคอยน์ อาจไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยเหมือนกับทองคำและคนส่วนใหญ่ต้องการถือเงินสดมากกว่า จึงมองว่าการขึ้นไปทำจุดสูงสุดรอบใหม่ของบิทคอยน์อาจเลื่อนไปเป็นในปี 2565-2567 เลย"