ศึกปมไวรัส 'สหรัฐ-จีน' ส่อลามถึง 'การค้า'

ศึกปมไวรัส 'สหรัฐ-จีน' ส่อลามถึง 'การค้า'

ปีนี้จะเป็นอีกปีแห่งการ “ปีนเกลียว” ระหว่างสหรัฐกับจีน สองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก หลังจากทั้งปีที่แล้ว สองประเทศนี้ก็ห้ำหั่นกันในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า และมาตรการภาษี จนบอบช้ำกันทั้งคู่ แถมทำให้ประเทศอื่นๆ พลอยฟ้าพลอยฝนได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ปี 2563 เริ่มต้นด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ของทุกประเทศทั่วโลก ทำให้รัฐบาลทุกประเทศต้องเบรคปัญหาอื่นๆ ไว้ก่อนและหันมาให้ความสำคัญกับการบรรเทาการระบาดของโรคร้ายนี้ก่อน

เช่นเดียวกับ สหรัฐและจีนที่เว้นวรรคกรณีพิพาทต่างๆ ระหว่างกันไว้ก่อน เพื่อทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์และกำลังคนรับมือการระบาดอย่างแข็งขัน จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงในระดับหนึ่ง (สำหรับบางประเทศ)

  • สหรัฐเปิดเกม “หาแพะรับบาป”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ เริ่มเปิดเกม “หาแพะรับบาป” กรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการบอกว่าจีน เป็นสาเหตุของโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วอย่างน้อย 60,000  ราย และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ถือเป็นการบั่นทอนโอกาสที่เขาจะได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปีด้วย พร้อมย้ำว่า  จีนควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสให้โลกรับรู้เร็วกว่านี้

เท่านั้นยังไม่พอ “ทรัมป์” ยังอ้างว่าปักกิ่งต้องการเห็น "โจ ไบเดน" ผู้สมัครตัวเก็งจากพรรคเดโมแครตได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ เพราะนโยบายกดดันทางการค้าและอื่นๆ ที่ ทรัมป์ ใช้กับจีนจะได้ถูกยกเลิกหรือผ่อนคลายลง

“จีนพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผมแพ้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเขามักใช้การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อทำให้คนทั่วโลกเข้าใจว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์” ผู้นำสหรัฐ กล่าว

ทรัมป์ ระบุด้วยว่า พิษเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ข้อตกลงการค้าที่ตนทำร่วมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐเสียหายยับเยิน

แต่เมื่อถูกซักถามถึงหลักฐานที่แสดงว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เกิดจากห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น ทรัมป์พยายามปฏิเสธและชี้แจงว่าเขาไม่สามารถเผยหลักฐานได้ เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น

  • จ่อเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่

ทรัมป์ ยังขู่ด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเตรียมดำเนินมาตรการตอบโต้จีนเกี่ยวกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่นของจีนด้วยการจะจัดเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่กับสินค้าจีน

ด้านเจ้าหน้าที่อาวุโสในรัฐบาลสหรัฐซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อบอกว่า ข้อตกลงยุติสงครามน้ำลายอย่างไม่เป็นทางการของสองผู้นำเมื่อปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา สิ้นสุดลงแล้ว

“สี” และ “ทรัมป์” เคยให้สัญญาว่าจะร่วมมือกันในทุกๆ ด้านที่เป็นไปได้เพื่อยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ในช่วงไม่กี่วันมานี้จะเห็นได้ว่าสหรัฐกับจีนเริ่มเปิดศึกกล่าวโทษกันทั้งในประเด็นต้นตอเชื้อไวรัสและมาตรการตอบสนองต่อการระบาดของโรค

“เกิ่ง ส่วง” โฆษกรัฐบาลจีน กล่าวย้ำว่า "จีนเป็นเหยื่อรายหนึ่งของโรคระบาดนี้ ไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ซึ่งความพยายามของนักการเมืองจำนวนหนึ่งที่จะหันเหเสียงประณามการที่พวกเขารับมือกับการระบาดได้อย่างย่ำแย่ด้วยการโบ้ยว่าเป็นความผิดของรัฐบาลปักกิ่งนั้น มีแต่จะเปิดโปงให้เห็นปัญหาต่างๆ ของสหรัฐเอง สหรัฐควรรู้แก่ใจว่าศัตรูของสหรัฐคือไวรัส ไม่ใช่จีน”

  • ข่าวกรองสหรัฐยันมนุษย์ไม่ได้สร้างไวรัส

เมื่อวันพฤหัสบดี (30 เม.ย.) สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐ แถลงยืนยันว่า ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ไม่ได้ถูกสร้างจากมนุษย์ ถือเป็นการหักล้างแนวคิดที่ว่าโควิด-19 ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในจีน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำเนียบขาว เรียกร้องให้ค้นหาความจริงเกี่ยวกับต้นตอของโควิด-19 และประธานาธิบดีทรัมป์ ก็แสดงความคลางแคลงใจเกี่ยวกับบทบาทของจีนและองค์การอนามัยโลก (WHO) ในเรื่องนี้  

ส่วน "ไมค์ ปอมเปโอ" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของรัฐบาลจีน พร้อมระบุว่าจีน ยังคงทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงหากไม่ยอมเปิดเผยว่าต้นตอของโรคโควิด-19 มาจากไหน

  • WHO ย้ำไวรัสเกิดตามธรรมชาติ    

นายแพทย์ไมเคิล ไรอัน ประธานโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของ WHO กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า WHO ตรวจสอบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายแขนงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และได้ข้อสรุปที่เป็นการยืนยันตรงกัน ว่าเชื้อไวรัสโคโรโน่าสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

นอกจากนั้น WHO กำลังศึกษาอย่างละเอียดว่า เชื้อโรคนี้สามารถก้าวข้ามกำแพงทางสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ได้อย่างไร เพื่อยกระดับความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ทุกฝ่าย และเพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันอาการป่วยที่เกิดจากเชื้อโรคชนิดนี้

WHO ยังแสดงความหวังว่า จะได้รับเชิญจากรัฐบาลจีน ให้เข้าร่วมการตรวจสอบหาต้นตอของสัตว์ ซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคโควิด-19 ที่ทำให้ชาวโลกล้มป่วยสะสมมากกว่า 3.4 ล้านราย และเสียชีวิตแล้วจำนวนเกือบ 240,000 ราย

ด้าน “เทดรอส อัดนอม เกเบรเยซุส” ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าวว่า อนามัยโลกได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขตั้งแต่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพียง 82 รายและไม่มีผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนที่เป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นหมายความว่าทั่วโลกมีเวลามากพอที่จะเตรียมการรับมือกับไวรัสชนิดนี้

ขณะเดียวกัน เขายืนยันว่า อนามัยโลกไม่รีรอที่จะส่งเจ้าหน้าที่ไปยังประเทศจีน เพื่อสืบหาต้นตอของไวรัสตั้งแต่เดือน ก.พ. แม้ว่าทั่วโลกจะไม่เห็นด้วยที่จะส่งคนเข้าไปในประเทศจีนช่วงการระบาดหนักในตอนนั้น