'วันแรงงาน' 1 พฤษภาคม กับสิทธิตามกฎหมายที่คนค้าแรงงานต้องรู้!

'วันแรงงาน' 1 พฤษภาคม กับสิทธิตามกฎหมายที่คนค้าแรงงานต้องรู้!

"วันแรงงาน" 1 พฤษภาคม ชวนผู้ค้าแรงงานไทยไปรู้จัก "สิทธิแรงงาน" และต้นกำเนิดวันแรงงานของไทยและทั่วโลก

เมื่อ "แรงงาน" เป็นกำลังหลักสำคัญของชาติ และมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานในเมืองไทยจำนวนไม่น้อยที่อาจจะยังไม่รู้หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับ "สิทธิแรงงาน" เนื่องใน วันแรงงาน 2564 เราจะพาไปเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนแรงงานในไทย สิทธิที่ควรรู้ รวมถึงต้นกำเนิดของวันแรงงานโลก

  • ต้นกำเนิด "วันแรงงานสากล" (May Day) 

ย้อนกลับไปในสมัยที่โลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม มนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์เครื่องจักรทุ่นแรงนำมาใช้ผลิตสินค้าและอาหาร ต่อมาได้นำเครื่องจักรเหล่านี้มาใช้งานควบคู่กับแรงงานมนุษย์โดยไม่มีสวัสดิการหรือข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ต่อมาในปี ค.ศ. 1886 แรงงานในสหรัฐอเมริกาได้เรียกร้องให้กำหนดชั่วโมงการทำงานสูงสุดวันละ 8 ชั่วโมง รวมถึงให้ทบทวนสิทธิของแรงงานด้านอื่นๆ ด้วย

เรื่องราวบานปลายจนเกิดการชุมนุมและเกิดจลาจลเพื่อเรียกร้องสิทธิแรงงานที่จัตุรัสเฮย์มาร์เก็ต ในสหรัฐอเมริกา เกิดการปะทะระหว่างแรงงานและตำรวจส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย ภายหลังการสูญเสียทั้งสองฝ่ายต่อมาจึงได้ทำข้อตกลงด้านจ้างงานอย่างเป็นธรรม และมอบสวัสดิการที่เหมาะสมทั้งด้านความปลอดภัยและด้านสุขภาพให้แก่ผู้ค้าแรงงาน จากเหตุการจลาจลจนทำให้เกิดการต่อรองในครั้งนั้น จึงมีการกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันแรงงานสากลหรือที่เรียกว่า เมย์เดย์ (May Day) 

ทั้งนี้ มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานเป็นครั้งแรกของโลกในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งช่วงนั้นกำลังอยู่ในกระแสลัทธิสังคมนิยมของ คาร์ล มาร์กซ์ ที่ได้วิพากษ์ระบบทุนนิยมซึ่งกดขี่ชนชั้นกรรมาชีพในโรงงานอุตสาหกรรมว่าไม่เป็นธรรมอย่างร้ายกาจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

158831827838

  • สิทธิแรงงานในคำปฏิญญาสากล

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organisation) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในปี ค.ศ. 1919 (หลังสงครามโลกครั้งที่1) ภายใต้สันนิบาตชาติ ต่อมาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นแทนที่สันนิบาติชาติ ซึ่งทางองค์การแรงงานระหว่างประเทศก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหประชาชาติด้วย โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก็ได้กล่าวถึงสิทธิแรงงานไว้ในคำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนไว้ในข้อที่ 23 และ 24 ดังนี้

ข้อ 23

1. ทุกคนมีสิทธิในการงาน ในการเลือกงานโดยอิสระในเงื่อนไขอันยุติธรรม และเป็นประโยชน์แห่งการงาน และการคุ้มครองแห่งการว่างงาน

2. ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างเท่าเทียมกันสำหรับงานเท่าเทียมกัน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใดๆ

3. ทุกคนที่ทำงานมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างที่ยุติธรรมและเป็นประโยชน์ ที่จะให้ประกันแก่ตนเองและครอบครัวแห่งตน ซึ่งความเป็นอยู่อันคู่ควรแก่เกียรติศักดิ์ของมนุษย์ และถ้าจำเป็นก็จะต้องได้รับวิถีทางคุ้มครองทางสังคมอื่นเพิ่มเติมด้วย

4. ทุกคนมีสิทธิที่จะจัดตั้งและเข้าร่วมสหพันธ์กรรมกรเพื่อความคุ้มครองแห่งประโยชน์ของตน

ข้อ 24 

ทุกคนมีสิทธิในการพักผ่อนและเวลาว่าง รวมทั้งจำกัดเวลาการทำงานตามสมควร และวันหยุดงานเป็นครั้งคราวโดยได้รับสินจ้าง

158831828065

  • "วันแรงงาน" ในไทยมีครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2475

วันแรงงานในประเทศไทยถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งตรงกับสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ในรัชสมัยรัชกาลที่ 8 และรัฐบาลได้รับรองวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันกรรมกรแห่งชาติในปี พ.ศ. 2499 และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวันแรงงานในปี พ.ศ. 2500

ในยุคแรกของวันแรงงานนั้น ลูกจ้างยังไม่ได้หยุดงานในวันที่ 1 พฤษภาคม แต่พอมาในปี พ.ศ. 2517 ทางการไทยได้พิจารณาให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันหยุดของผู้ใช้แรงงานเพื่อให้ได้มีช่วงเวลาเฉลิมฉลองและพักผ่อน ซึ่งในช่วงวันหยุดวันแรงงานมักจะใกล้เคียงกับวันพืชมงคลซึ่งก็เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์เช่นกัน ผู้ใช้แรงงานที่มีครอบครัวเป็นเกษตรกรจึงมักใช้โอกาสนี้เริ่มฤดูกาลหว่านไถไร่นาเตรียมปลูกข้าว ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นฤกษ์มงคลในการเพาะปลูกก่อนที่ฤดูฝนจะเริ่มต้นขึ้น

  • "สิทธิแรงงาน" ที่ผู้ค้าแรงงานไทยต้องรู้!

สิทธิแรงงาน (Labour Rights) หมายถึง สิทธิของผู้ใช้แรงงานในความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ทั้งสิทธิทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชน เช่น อัตราค่าจ้าง จำนวนชั่วโมงการทำงาน สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในที่ทำงาน สิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เป็นต้น สำหรับสิทธิแรงงานตามกฎหมายไทย ระบุไว้หลายข้อ ดังนี้

1. เวลาทำงาน

สำหรับงานทั่วไปกำหนดให้ทำไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับงานอันตรายตามที่กำหนดในกฏกระทรวง กำหนดให้ทำไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

2. เวลาพัก 

ในวันที่มีการทำงานให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักติดต่อกันไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 5 ชั่วโมงแรกของการทำงาน หรือนายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมง ก็ได้แต่ต้องไม่น้อยกว่าครั้งละ 20 นาทีและเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง

กรณีงานในหน้าที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไปหรือเป็นงานฉุกเฉินโดยจะหยุดเสียมิได้ นายจ้างจะไม่จัดเวลาพักให้ลูกจ้างก็ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง

3. วันหยุดประจำสัปดาห์, วันหยุดประเพณี, วันหยุดประจำปี

วันหยุดประจำสัปดาห์ : ลูกจ้างต้องมีวันหยุดไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน โดยมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน และลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ (ยกเว้นลูกจ้างรายวันหรือรายชั่วโมง) โดยนายจ้างและลูกจ้างสามารถตกลงกันล่วงหน้า และกำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์วันใดก็ได้  สำหรับงานโรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานประมง งานดับเพลิง หรืองานอื่นๆ ตามที่กฎกระทรวงฯ กำหนด นายจ้างและลูกจ้างให้ตกลงกันล่วงหน้า สามารถสะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ไปเมื่อไดก็ได้ แต่ต้องอยู่ในระยะเวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน

วันหยุดตามประเพณี :  ลูกจ้างต้องได้ไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย ถ้าวันหยุดตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี

วันหยุดพักผ่อนประจำปี :  ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันทำงาน ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ถ้าลูกจ้างที่ทำงานยังไม่ครบ 1 ปี จะให้หยุดตามส่วนก็ได้ ให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าหรือกำหนดตามที่ตกลงกัน นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้

4. การทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด

ในกรณีที่งานมีลักษณะต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉิน นายจ้างอาจให้ลูกจ้าง ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุดเท่าที่จำเป็นก็ได้

ส่วนกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล และกิจการอื่นตามที่กระทรวงจะได้กำหนดนายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานใน วันหยุดเท่าที่จำเป็นก็ได้ โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นคราวๆ ไป

ในกรณีที่มีการทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่า สองชั่วโมง นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพัก ไม่น้อยกว่ายี่สิบนาที ก่อนที่ลูกจ้างเริ่ม ทำงานล่วงเวลา (ยกเว้นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างหรือเป็นงานฉุกเฉิน)

158831828235

5. ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุด

ถ้าทำงานเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวน ชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ถ้าทำงานในวันหยุดเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงานนายจ้างต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับ ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย 

ถ้าทำงานในวันหยุดในเวลาทำงานปกติ นายจ้างต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของค่าจ้าง ในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด หรือตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย สำหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุดหรือตามจำนวนผลงาน ที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

6. ค่าชดเชย

ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด ดังนี้

- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน

- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน

- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีแต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน

- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน

- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน

- ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิตการจำหน่ายหรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่อง จักรหรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้างลง นายจ้างต้องแจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้าง และรายชื่อลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง

หากไม่แจ้งแก่ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา 60 วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน ค่าชดเชยแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านี้ให้ถือว่านายจ้างได้จ่ายค่าสินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมายด้วย

---------------------

อ้างอิง: 

https://nakhonnayok.mol.go.th/

https://lb.mol.go.th/

https://th.wikipedia.org/สิทธิแรงงาน