Selective Buy

Selective Buy

คาดว่าจะมีแรงขายในกลุ่มค้าปลีกรวมถึงท่องเที่ยว โรงแรมหลังนายกฯใช้พรก.ฉุกเฉินเบรกผ่อนปรน Lockdown ตามประกาศของผู้ว่าฯ

ตลาดหุ้นวานนี้

SET วานนี้ปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,282 จุด (+7.69 จุด) หรือ +0.60% ด้วย Volume ซื้อขาย 4.9 หมื่นล้านบาท ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นรอบบ้านที่ดีดตัวขึ้นตอบรับการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศรวมถึงไทย นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นจากการคาดการณ์ว่า Demand จะฟื้นตัวหลังผ่อนเกณฑ์ Lockdown ทั้งนี้เป็นแรงซื้อในกลุ่ม Energ, Fin, Etron และ Tourism หนุนดัชนี  ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 453 ล้านบาท, Net Short TFEX SET50 2,362 สัญญา แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,315 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,270 – 1,300 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่าสหรัฐจะเปิดเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นหลังบริษัท Gilead Sciences แถลงว่าได้รับข้อมูลที่น่าพึงพอใจในการใช้ยา Remdesivir รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ประกอบกับ FED คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ 0-0.25% และย้ำว่าจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นโดยเร็ว นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนทิศทางตลาด  อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีแรงขายในกลุ่มค้าปลีกรวมถึงท่องเที่ยว โรงแรมหลังนายกฯใช้พรก.ฉุกเฉินเบรกผ่อนปรน Lockdown ตามประกาศของผู้ว่าฯ อีกทั้งแรงขายลดควาเสี่ยงก่อนหยุดยาว 4 วันจะฉุดให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

** วันนี้ 30 เม.ย. 11.30 น. ติดตาม ศบค.แถลงข้อกำหนด-มาตรการคลาย Lockdown

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ค่อนข้างน้อย ICT (ADVANC, INTUCH, DTAC) กลุ่มอาหาร (CPF)
  • กลุ่ม Finance (KTC, SAWAD, MTC, JMT, BAM) ได้ประโยชน์กกบ.คลายเกณฑ์ TFRS9 และซอฟ์ทโลนดอกเบี้ยต่ำ
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 1Q20 จะปรับตัวขึ้น (CPF, IVL, BCPG, GPSC, RS)
  • กลุ่มที่คาดว่าจะได้เข้าคำนวณ MSCI รอบใหม่ (ประกาศ 12 พ.ค.) KTC, AWC, TOA

หุ้นแนะนำวันนี้

  • KTC (34.5 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 35 บาท) ได้ Sentiment บวกจากกระแสคาดการณ์ว่า KTC จะถูกปรับเข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบใหม่ (ประกาศผล 12 พ.ค.) ด้านผลประกอบการอาจสะดุดบ้างใน 2Q20 จากมาตรการ lockdown ทำให้ยอดใช้บัตรลดลง แต่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวเร็วเมื่อรัฐบาลทยอยผ่อนคลาย lockdown ดังนั้น KTC น่าจะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่จะมีการเก็งกำไรเพิ่มเมื่อห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดในเดือนหน้า
  • TOP (39.25 ซื้อ/เป้า 48 บาท) คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว และจะทยอยเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q20 โดยมีปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลาย lockdown ของหลายประเทศทั่วโลกจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวหนุนความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น ด้าน Valuation ถือว่าไม่แพงมี PBV ต่ำเพียง 0.5 เท่า (เทรดต่ำบุ๊ค)

บทวิเคราะห์วันนี้

SIRI (ปิด 0.7 ซื้อ/เป้า 1.04), SCC (ปิด 340 ถือ/เป้า 350)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) สหรัฐประกาศ GDP ไตรมาส 1/20 หดตัวมากสุดในรอบ 12 ปี ส่วน Fed คงดอกเบี้ยที่ 0-0.25% และพร้อมใช้ทุกเครื่องมือเพื่อช่วยสหรัฐผ่านพ้นวิกฤติ: สหรัฐประกาศ GDP ไตรมาส 1/20 (ประมาณการณ์ครั้งที่ 1) แย่สุดในรอบ 12 ปี โดยหดตัว 4.8% มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว 3.5% ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ออกมาคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ของสหรัฐในประมาณการณ์ครั้งที่ 2 อาจจะแย่กว่าครั้งที่ 1 เป็นเท่าตัว โดยคาดว่าจะหดตัวแรงถึง 8.25% อย่างไรก็ตามตลาดมองข้ามปัจจัยนี้และให้น้ำหนักไปที่การประชุมของ Fed ซึ่งที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% ตามเดิม และเฟดประกาศว่าจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ และจะดำเนินการในทุกวิถีทางที่เหมาะสม (คงดอกเบี้ยไปจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดวงเงิน) เพื่อช่วยให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของสหรัฐผ่านพ้นวิกฤติ Covid-19 ไปให้ได้
  • (+) ดาวโจนส์บวกแรงรับข่าว ผลการทดลองการใช้ยา Remdisivir รักษาผู้ติดเชื้อ Covid-19 ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ: ดัชนีดาวโจนส์บวกแรงกว่า 532 จุด (+2.21%) ปิดที่ 24,634 จุด สวนทางตัวเลขเศรษฐกิจที่หดตัวเนื่องจากนักลงทุนมีความหวังเชิงบวกในการต่อสู้กับไวรัส Covid-19 หลังจากที่ บริษัท Gilead Sciences ร่วมกับสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐออกมาเปิดเผยว่า ผลการใช้ยา remdesivir รักษาผู้ติดเชื้อ Covid-19 ให้ผลเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวนอย่างน้อย 50% ที่ได้รับยา remdesivir เป็นเวลา 5 วัน มีอาการดีขึ้น และผู้ป่วยจำนวนมากกว่า 50% ที่ได้รับยา remdesivir สามารถออกจากโรงพยาบาลภายในเวลา 2 สัปดาห์
  • (+) ก่ลุ่มน้ำมัน – ราคาน้ำมันดิบ WTI บวกแรงกว่า 22% หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้: ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.72 ดอลลาร์ (+22%) ปิดที่ 15.06 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 2.08 ดอลลาร์ (+10.2%) ปิดที่ 22.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ตอบรับ EIA ประกาศตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 9 ล้านบาร์เรลน้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ตลาดยังคาดหวังดีมานด์น้ำมันจะค่อยๆฟื้นตัวหลังจากหลายประเทศเริ่มผ่อนคลาย lockdown และยังได้แรงหนุนหลังจาก มูดี้ส์ออกมาคาดการณ์ว่าราคาน้ำมัน WTI และ Brent จะมีราคาเฉลี่ยที่ 30 และ 35 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าในระดับปัจจุบันกว่าเท่าตัว