PTTEP เผยกำไร Q1/63 ลดลง 30% กดดันจากปริมาณและราคาขายน้ำมันที่ลดลง

PTTEP เผยกำไร Q1/63 ลดลง 30% กดดันจากปริมาณและราคาขายน้ำมันที่ลดลง

PTTEP เผยกำไรไตรมาสแรก ทำได้ 8.6 พันล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน หลังปริมาณการขายและราคาขายน้ำมันดิบลดลง ผู้บริหารหั่นเป้ายอดขาย พร้อมลดงบลงทุนลง 15-20% จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.43 แสนล้านบาท

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวว่าในไตรมาส 1 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 4.63 หมื่นล้านบาท ลดลงประมาณ 16% จากไตรมาส 4 ปี 2562 โดยหลักมาจากปริมาณการขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 363,411 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเทียบกับ 395,028 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากการเรียกรับก๊าซธรรมชาติจากโครงการในอ่าวไทยจากผู้ซื้อที่ลดลง

นอกจากนี้ ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยในไตรมาสนี้ ลดลงมาอยู่ที่ 44.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับ 48.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อน ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ดี บริษัทมีกำไรจากอนุพันธ์ทางการเงินราว 6.9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันที่บริษัทได้เข้าทำสัญญาล่วงหน้า ในขณะเดียวกันสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ระดับ 31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทมีรายจ่ายทางภาษีเงินได้จากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 7 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผลประกอบการของ PTTEP ในไตรมาสที่ 1 นี้ มีกำไรสุทธิ 8.6 พันล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน และลดลง 28% จากไตรมาสก่อน โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 3.8 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตรา EBITDA 72%

นายพงศธร กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำ ประกอบกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในประเทศลดลงเป็นอย่างมาก ปตท.สผ. จึงได้ปรับลดการคาดการณ์ปริมาณการขายปิโตรเลียมในปี 2563 เป็น 362,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงประมาณ 7% จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 391,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน

รวมถึงปรับลดรายจ่ายการลงทุนของปี 2563 ประมาณ 15-20% จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.43 แสนล้านบาท โดยได้พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนและเลื่อนแผนการเจาะสำรวจในบางโครงการออกไป แต่จะยังคงรายจ่ายสำหรับรักษาระดับการผลิตตามสัญญาเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ รวมถึงรายจ่ายเพื่อพัฒนาโครงการที่พร้อมผลิตใน 3-4 ปีข้างหน้า อาทิ โครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 และการเจาะหลุมสำรวจเพิ่มเติมในแหล่งก๊าซ ลัง เลอบาห์ ในแปลงเอสเค 410บี ประเทศมาเลเซีย

“การดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตฯ ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ท้าทาย ความสำเร็จในการปรับลดต้นทุนในอดีตเมื่อครั้งบริษัทเผชิญวิกฤตราคาน้ำมันตกต่ำในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว ทำให้ต้นทุนปัจจุบันของบริษัทอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบเคียงกับกลุ่มธุรกิจเดียวกัน อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของราคาน้ำมัน แต่เป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง การมุ่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของบริษัทคงไม่ใช่แค่เพียงการปรับลดต้นทุน แต่จะต้องมุ่งเน้นการปฏิรูประบบและพฤติกรรมการทำงานขององค์กร เพื่อให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสะท้อนต่อโครงสร้างต้นทุนของบริษัทในอนาคตที่จะมีความยืดหยุ่น ให้รองรับได้ทุกสถานการณ์” นายพงศธร กล่าว

ทั้งนี้ PTTEP มีผลิตภัณฑ์หลัก 70% เป็นก๊าซธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่มีการกำหนดปริมาณรับซื้อขั้นต่ำไว้แล้ว และกำหนดราคาขายในหลายโครงการกับคู่สัญญาไว้แล้ว โดยโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.สผ.ผูกกับราคาน้ำมันส่วนหนึ่งและย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน ส่วนของน้ำมันดิบซึ่งมีปริมาณการขายประมาณ 30% ของปริมาณการขายทั้งหมด อาจจะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งบริษัทได้มีการทำสัญญาประกันความเสี่ยงด้านราคาในปีนี้ไว้แล้วบางส่วน