เมื่อรัฐกดปุ่ม 'คลายล็อกดาวน์' ต้องคุมสถานการณ์ให้อยู่

เมื่อรัฐกดปุ่ม 'คลายล็อกดาวน์' ต้องคุมสถานการณ์ให้อยู่

เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หากรัฐต้องคลายล็อกดาวน์ พื่อต้องการให้ผู้ประกอบการบางส่วนสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้ต่อ รัฐเองจะต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้เพราะไทยยังไม่พ้นปากเหว ที่จะสามารถไว้วางใจสถานการณ์นี้ได้

แม้ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทยจะดูเหมือนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าเราควรวางใจต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด เพราะเมื่อยังปรากฏตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ ทุกภาคส่วนก็ควรต้อง “เข้ม” มาตรการป้องกันให้ถึงที่สุด เพราะในต่างประเทศ รวมถึงรอบๆ ประเทศไทย ยังคงเผชิญการแพร่ระบาดอย่างสาหัส โดยเฉพาะใน “สหรัฐอเมริกา” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “มหาอำนาจของโลก” กลายเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สูงสุดในโลก

ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ในรัฐแมริแลนด์ของสหรัฐ รายงานว่า ผู้ป่วยสะสมเฉพาะในสหรัฐจำนวนกว่า 1.01 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของผู้ป่วยสะสมทั้งหมดบนโลก แม้รักษาหายแล้วประมาณ 115,000 คน แต่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 58,365 คน จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐ ทำลายสถิติอย่างเป็นทางการที่ระบุว่า ชาวอเมริกัน 58,200 คน เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ที่สหรัฐเข้าร่วมสมรภูมิระหว่างปี 2507 ถึง 2518 ขณะที่ มหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตันระบุว่า โรคโควิด-19 อาจคร่าชีวิตประชาชนในสหรัฐมากกว่า 74,000 คน ภายในวันที่ 7 ส.ค. นี้ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งระบุไว้ที่มากกว่า 67,000 คน

สถานการณ์การแพร่ระบาดที่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในไทย ทำให้มีแนวคิดคลายล็อกดาวน์ในบางกลุ่มธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ตลาดและตลาดนัด ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย สวนสาธารณะ สถานที่ออกกำลังกาย รวมถึงศูนย์กีฟาและศูนย์เยาวชน ร้านตัดขนสัตว์ และคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ โรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาล ส่วนในต่างจังหวัด พิจารณาเป็นรายจังหวัด เช่น เปิดห้าง ตลาด ร้านอาหาร แต่ต้องมีเงื่อนไขเช่นกัน รวมไปถึง ยกเลิกด่านตรวจระหว่างจังหวัดที่จะให้เป็นบางจังหวัด การเดินทางข้ามจังหวัดที่ต้องผ่านมาตรการคัดกรอง หากทั้งหมดต้องยึดแนวทางปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขประเมินผลทุก 14 วัน ทุกกิจการที่รัฐจะเริ่มผ่อนล็อกดาวน์ ยังคงต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และมาตรการป้องกันโรคอย่าง “เข้มข้น”

แนวคิดการผ่อนคลายล็อกดาวน์ เพื่อต้องการให้ธุรกิจบางกลุ่ม ผู้ประกอบการบางส่วน สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้ต่อ ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ขณะที่ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการเอง อย่าใช้โอกาสนี้ “แตกแถว” หรือ “ไร้วินัย” หย่อนยานมาตรการป้องกันเป็นอันขาด เพราะไทยยังไม่พ้นปากเหว ที่จะสามารถไว้วางใจต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ 

เรายังไม่มีวัคซีน และยาในการรักษา จึงยังสุ่มเสี่ยงอยู่ทุกวินาที ที่การแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นอีกระลอกจะเกิดขึ้นได้อีก และยิ่งถ้าเรา “ไร้วินัย” ก็อาจทำให้สถานการณ์ที่ดีขึ้นในตอนนี้ กลับสู่ความเลวร้ายเหมือนจุดเริ่มต้น และรัฐอาจต้องกลับมาใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด หรือขยายเวลาการล็อกดาวน์ต่อไปอีกเป็นระยะเวลายาวนาน นั่นยิ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคน ซ้ำเติมวิกฤติเข้าไปอีก ดังนั้น ทุกภาคส่วนยังต้องช่วยกันคุมเข้มกฎระเบียบ อย่าทำให้การผ่อนคลายล็อกดาวน์ครั้งนี้ กลายเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ซ้ำสอง