'หญิงหน่อย' เผยจะไม่ยอมให้รัฐบาล 'ตีเช็คเปล่า' เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท

'หญิงหน่อย' เผยจะไม่ยอมให้รัฐบาล 'ตีเช็คเปล่า' เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท

"คุณหญิงสุดารัตน์" เผย เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อไทย จะไม่ยอมให้ "ตีเช็คเปล่า"

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 63 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการกู้สูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อไทยจะไม่ยอมให้เป็นการ "ตีเช็คเปล่า" ให้รัฐบาลไปใช้อย่างไร้ประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ต้องใช้เพื่อ

1) เยียวยาความเดือดร้อนประชาชนจากการที่รัฐบาลสั่งปิดกิจการต่างๆอย่างทั่วถึง รวดเร็ว

2) ลดความเสียหายทางธุรกิจ และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายจาก COVID 19

3) ลงทุนเพื่อธุรกิจสำหรับอนาคต หลัง COVID 19 โดยการสร้าง"โครงสร้างพื้นฐาน "(Infrastructure) เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ ที่จะเป็น New Normal เพื่อพลิกวิกฤตครั้งนี้ ให้เป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้คนไทยให้ได้ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข


กรณีที่รัฐบาลแก้ปัญหา COVID 19 ด้วยการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทนั้น

เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำด้วยความระมัดระวังที่สุด เพราะเป็นการกู้ในจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกบาทเป็นเงินกู้ ที่คนไทยทุกคนต้องเป็นผู้รับภาระในการใช้หนี้อีกยาวนานชั่วลูกชั่วหลาน

สิ่งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรทำคือ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน จากงบปี 63-64 ก่อน แต่รัฐบาลไม่ได้ใช้ความพยายามในการตัดงบ ถึงแม้รัฐบาลจะออกข่าวว่า ได้ปรับลดงบประมาณแล้ว แต่เป็นการออกข่าวเพื่อลดแรงเสียดทานทางสังคมลงเท่านั้น เพราะว่ายอดที่ปรับลดลงมานั่นน้อยมาก และรัฐบาลไม่มีการยืนยันกับประชาชนว่า จะปรับลดยอดเงินกู้ลงเลยแม้แต่บาทเดียว เท่ากับว่าการปรับงบประมาณ คือการย้ายเงินเก่า จากกระเป๋าซ้ายไปเข้ากระเป๋าขวาเท่านั้น ส่วนเงินใหม่รัฐบาลยังคงกู้มาเต็มจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทเหมือนเดิม

การกู้เงินครั้งนี้ถือเป็นเดิมพันครั้งสำคัญที่สุด หากใช้เงินกู้ได้ถูกยุทธศาสตร์ นอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดกับพี่น้องประชาชนได้แล้ว ยังจะเป็นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเป็นเสือของเอเซีย เหมือนในอดีตที่พรรคไทยรักไทยเคยทำสำเร็จมาแล้ว

ดิฉันเห็นว่า เงินกู้จำนวนดังกล่าวควรถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ กล่าวคือ

1. เพื่อการเยียวยาประชาชนอย่างเร่งด่วนและทั่วถึง โดยรัฐบาลได้กู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายในการนี้จำนวน 6 แสนล้านบาท จากวงเงินดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมีเม็ดเงินมากพอที่จะดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่กลับปรากฏว่ามีพี่น้องประชาชนต้องฆ่าตัวตาย เพราะการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและล่าช้า ซึ่งเกิดจากการบริหารแบบรัฐราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ สร้างเงื่อนไขที่ยุ่งยากกับประชาชน

ดิฉันจึงเรียกร้องให้รัฐบาลปรับปรุงวิธีการ ให้การเยียวยาเป็นไปโดยทั่วถึง เพียงพอต่อการดำรงชีพและทำด้วยความรวดเร็ว

2. ใช้เพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยดูแลธุรกิจและระบบเศรษฐกิจไม่ให้ล่มสลาย เพื่อไม่ให้เกิดการเลิกจ้าง รวมทั้งต้องลดภาระภาคธุรกิจ โดยการพักชำระหนี้ ซึ่งรัฐบาลได้ใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ จำนวน 400,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ร.ก.ให้ ธปท. กู้เงิน 500,000 ล้าน เพื่อดูแลธุรกิจเอสเอ็มอี และ พ.ร.ก.ให้ ธปท. กู้เงินจำนวน 400,000 ล้านบาท เพื่อดูแลหุ้นกู้ของเอกชน

ซึ่งการใช้เงินจำนวนดังกล่าวนี้ ดิฉันขอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำแผนการใช้เงินอย่างมียุทธศาสตร์ และเปิดเผยให้พี่น้องประชาชนทราบ เพื่อจะได้ช่วยกันตรวจสอบ และเสนอแนะ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญมาก เศรษฐกิจจะ"ฟื้น"หรือ"ฟุบ" ก็ขึ้นอยู่กับการใช้เงินกู้ก้อนนี้ให้ถูกจุด มีประสิทธิภาพและโปร่งใส

3. ใช้เพื่อในการลงทุนสร้าง "โครงสร้างพื้นฐาน"ให้ธุรกิจไทยในอนาคตหลัง COVID 19ซึ่งบริบทการใช้ชีวิตของผู้คน และการประกอบธุรกิจจะเปลี่ยนไปหมด ที่เราเรียกว่า New Normal ที่ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาด (Health & Hygienity) การใช้ชีวิต และการทำงานที่เปลี่ยนไป ใช้ออนไลน์ และเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น ให้ความสำคัญกับ Work from home

รัฐบาลต้องเตรียมสร้าง Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ New Normal โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข ให้กับคนไทยและธุรกิจไทย ซึ่งรัฐบาลไทยต้องมีความรู้ ความเข้าใจทิศทางที่โลกจะเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง เพื่อพลิกวิกฤตครั้งนี้ ให้เป็นโอกาสของคนไทยในการสร้างรายได้หลังวิกฤตนี้ให้ได้

ความจริงแล้ว วิกฤตที่เกิดขึ้นจาก COVID 19 รัฐบาลที่ชาญฉลาด จะสามารถพลิกเป็นโอกาสให้กับประเทศชาติได้ เพราะพิษ COVID19 ได้ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก ชะงักและชลอตัวกันหมด รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ทันโลก สามารถวางยุทธศาสตร์ในการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ได้ถูกต้อง และเข้ากับเศรษฐกิจยุคใหม่ภายหลัง COVID 19ได้ ย่อมสร้างโอกาสให้กับประเทศชาติได้อย่างมหาศาล

ในเบื้องต้น เราขอเสนอให้รัฐบาลดำเนินการและชี้แจงข้อมูลต่างๆให้ประชาชนได้รับทราบอย่างเป็นรูปธรรมดังนี้

1. การปรับเกลี่ยงบประมาณปี 63และ64 รัฐบาลสามารถดึงเงินกลับมา เพื่อใช้แก้ปัญหาที่เกิดจาก COVID 19ได้จำนวนเท่าไหร่? และสามารถนำมาชดเชยเพื่อปรับลดวงเงินกู้ 1.9ล้านๆบาทได้จำนวนเท่าไหร่?

2. ขอให้รัฐบาลแสดงวิสัยทัศน์ พร้อมทั้งรายละเอียดให้ประชาชนได้อุ่นใจ ว่าจะใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ เพื่อประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนโดยรวม อย่างคุ้มค่ามากที่สุดอย่างไร พร้อมทั้งรายงานการดำเนินงานการใช้เงินกู้ให้รับทราบทุก 3 เดือน

3. รัฐบาลจะต้อง #เปิดประชุมสภาวิสามัญ ทันทีที่ข้อกำหนดทางสาธารณสุขเอื้ออำนวย เพื่อให้ตัวแทนของพี่น้องประชาชนทั้งสภาฯ ได้ร่วมคิด ร่วมตรวจสอบ และช่วยกันหาแนวทางที่ดีที่สุด ในการใช้เงินกู้ครั้งนี้ เพื่อเยียวยาประชาชน และพลิกพื้นเศรษฐกิจไทย ให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

"พรรคเพื่อไทย" ในฐานะฝ่ายค้าน เราจะไม่ยอมให้การกู้เงินมโหฬาร 1.9 ล้านล้านบาทครั้งนี้ เป็นเสมือนการ #ตีเช็คเปล่า โดยรัฐบาลนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่โปร่งใส ไม่มีวิสัยทัศน์ รวมทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อการกู้เศรษฐกิจไทย และช่วยคนไทยหมู่มากค่ะ