วิเคราะห์ 'ระบบการเงิน-ธนาคารไทย' ทำไมวิกฤติโควิดไม่ซ้ำรอยปี 2540

วิเคราะห์ 'ระบบการเงิน-ธนาคารไทย' ทำไมวิกฤติโควิดไม่ซ้ำรอยปี 2540

วิเคราะห์ความแตกต่างผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อระบบการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ในวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ กับวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 เป็นอย่างไร ตอบคำถามว่าทำไมถึงวิกฤติครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยเดิม

"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้เปรียบเทียบภาคการเงินและธนาคารไทยในวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้กับปี 2540 ไว้ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เมื่อย้อนไปในเหตุการณ์ปี 2540 ส่งผลกระทบกับภาคธนาคารอย่างมาก จนทำให้เห็นระดับหนี้เสียที่พุ่งขึ้นเกิน 50% ต่อสินเชื่อรวม มีการเพิ่มทุนจำนวนหลายแสนล้านบาท มีสถาบันการเงินปิดตัวลง มีการควบรวมกิจการ และอาศัยทุนจากต่างชาติเข้ามาประคองสถานะการเงิน 

ขณะที่ในปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบกับภาคการเงินและธนาคารพาณิชย์ แต่หากเทียบกับปี 2540 แล้ว ก็พบหลายความแตกต่างที่สำคัญ ที่ทำให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่ซ้ำรอยปี 2540 อย่างแน่นอน กล่าวคือ

158809426783

ประการแรก ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็งขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยในปี 2540 การกำกับดูแลและการปฏิบัติตามมาตรฐาน และกลไก Check and Balance ต่างๆ ยังไม่เข้มข้นเท่าในปัจจุบัน จึงมีช่องให้เกิดพฤติกรรมการปล่อยกู้ที่เสี่ยง จนหลังลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 จึงเกิดเป็นหนี้เสียจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน และลุกลามเกิดเป็นวิกฤตสถาบันการเงิน

ขณะที่ในปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์ไทยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์สากล (Basel III) และมีการบริหารความเสี่ยงที่พัฒนาขึ้นมากเพื่อรองรับความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงมีความมั่นคงด้านการดำรงเงินกองทุนในระดับสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับในปี 2540 โดยอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในปี 2562 อยู่ที่ 19.32% สูงกว่าในปี 2540 ที่เพียง 9.23%

ประการที่สอง สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับสูง ในปี 2540 สภาพคล่องในระบบตึงตัวมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน โดยในปี 2540 ระบบธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D ratio) อยู่ที่ระดับมากกว่า 110%  ขณะที่ในปี 2558-2562 อยู่ที่ 97.05%

ประการที่สาม พอร์ตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยหลังปี 2540 ธนาคารมีการขยายฐานลูกค้าสินเชื่อไปยังลูกค้า SMEs และลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ทำให้สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 11.9% สู่ 39.6% เพื่อตอบจุดประสงค์ทั้งกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อและเพิ่มผลตอบแทนในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่จะเน้นไปที่ลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรายกลางถึงใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของสินเชื่อในระดับที่สูง

ประการที่สี่ อัตราส่วนหนี้เสีย (%NPL) ของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงวิกฤติการเงินปี 2540 โดยเมื่อเปรียบเทียบหนี้เสียที่เกิดขึ้นในช่วงหลังปี 2540 ที่อยู่ระดับสูงสุดที่ 52.0% กับระดับปัจจุบันที่ 3.14% จะเห็นได้ว่าระดับ NPL ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการกันสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับที่สูงกว่าปี 2540

158809430353

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า การเติบโตของรายได้และกำไรของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนวิกฤตปี 2540 โดยแม้ระบบธนาคารพาณิชย์จะมีพื้นฐานและความเข้มแข็งในมิติต่างๆ ที่ดีขึ้นกว่าอดีตมาก แต่การเติบโตของรายได้อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตปี 2540  (กำไรสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย หรือ %ROAA ในช่วง 5 ปีก่อนวิกฤตอยู่ที่ 1.5%  ส่วนในปี 2558-2562 อยู่ที่ 1.19%)

เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การเติบโตของสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำหลายปีติดต่อกัน ขณะที่ภาวะการแข่งขันสูงขึ้น โดยมีการเข้ามาของคู่แข่งใหม่ๆ จำนวนมาก อาทิ ธุรกิจ FinTech, e-Commerce, บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และธุรกิจ Non-Bank ตลอดจนการสนับสนุนนโยบายของทางการ อาทิ e-Payment และการฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมต่างๆ ถูกปันส่วน ลดลง หรือแม้กระทั่งหายไป

สำหรับการหดตัวของเศรษฐกิจจากพิษของไวรัสโควิด-19 ในรอบนี้ นอกจากจะทำให้ไม่สามารถคาดหวังการเติบโตจากธุรกิจหลักได้แล้ว ธนาคารพาณิชย์คงต้องทยอยรับรู้ผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจและรายย่อยในช่วงระหว่างปี 2563 เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจากมาตรการพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนโอกาสที่คุณภาพหนี้จะถดถอยลงอันจะมีผลกระทบต่อระดับการตั้งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพฯ และย้อนกลับมากระทบผลประกอบการ ซึ่งคาดว่าผลกระทบต่อผลประกอบการในภาพรวมคงจะชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/2563 เป็นต้นไป

158809432739

ทั้งนี้ แม้ว่าบทสรุปสุดท้ายยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการระบาดของไวรัส ทั้งของไทยและในต่างประเทศ แต่อย่างน้อย...การสะสมความเข้มแข็งของฐานเงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนมีอัตราส่วนสูงกว่าก่อนวิกฤตปี 2540 ถึง 2 เท่า คงทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับผลกระทบต่างๆ ในครั้งนี้ได้ ท่ามกลางการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้กำกับดูแลและทางการไทย ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือภาคการเงินและผ่อนปรนเกณฑ์การกำกับดูแลฯ บางส่วนด้วยความรวดเร็วกว่าวิกฤตรอบปี 2540 มาก 

ขณะที่หากปรากฎสถานการณ์ที่เลวร้ายลง ก็เชื่อว่าทั้งทางการไทยและธนาคารพาณิชย์จะยังมีทรัพยากรรองรับมาตรการต่างๆ ที่อาจออกมาเพิ่มเติมเพื่อช่วยลูกค้าในอนาคต

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย