'นิวนอร์มอล' อสังหาฯ ผ่านแนวคิดนายหญิง 'เสนา'

'นิวนอร์มอล' อสังหาฯ ผ่านแนวคิดนายหญิง 'เสนา'

หลังวิกฤติโควิด-19 จะเกิด นิวนอร์จากวิถึชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เสนาดีเวลลอปเม้นท์ต้องปรับแผนล้อไปกับพฤติกรรมเวิร์คฟอร์มโฮมด้วยการส่งทาวน์โฮมติด'โซลาร์ รูฟท็อป'

หลังวิกฤติโควิด-19 แน่นอนจะเกิดความปกติใหม่ หรือ นิวนอร์มอล เกิดขึ้นกับผู้คน ที่ใช้ชีวิตเปลี่ยนไป ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ล้อไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่จะกลายเป็นการ “ดิสรัป” วิธีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม โดยธุรกิจ“พัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ประเภทที่อยู่อาศัย เป็นอีกธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รับการสังคมระยะห่าง คนทำงานอยู่บ้านมากขึ้น

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังการระบาดของโควิด -19 จะเกิดความปกติใหม่ หรือ ‘นิวนอร์มอล’ ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สังคมมีระยะห่าง ดูแลเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น พฤติกรรมดังกล่าวจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาสินค้าและบริการของภาคธุรกิจ

โดยในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างแรกเห็นอยู่ในขณะนี้และจะกลายเป็นความปกติในอนาคต คือ พฤติกรรมการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เนื่องจากลูกจ้างสามารถลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทาง สามารถทำงานที่บ้านได้ ขณะที่นายจ้างสามารถประหยัดค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ลง

ดังนั้นในแง่ของการพัฒนาอสังหาฯที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน เช่น ช่วยประหยัดพลังงาน ด้วยการนำเสนอทาวน์เฮ้าส์พร้อมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องทำอยู่บ้านได้ตรงจุด ซึ่งเสนาฯมีการดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิด ซึ่งถือเป็นการ ‘ต่อยอด’ ธุรกิจร่วมทุนของเสนาฯ โดยจะนำร่องในโครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกาคลอง 6 ซึ่งป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น ระดับราคา 2 ล้านกว่าบาทที่เปิดตัวเดือนมิ.ย.นี้ เป็นต้น

“หลังวิกฤติโควิด กระแสเวิร์คฟอร์มโฮม กลายเป็นจุดเปลี่ยนวงการอสังหาฯปรับตัวรับกับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปเมื่อคนอยู่บ้านมากขึ้นการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นโซลาร์เซล์เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟ และ ลดความเสี่ยงในการถูกเก็บค่าไฟอัตราไฟก้าวหน้า สำหรับกลุ่มที่มีรายได้จำกัด ”

นิวนอร์มอล ถัดมาจะเป็นพฤติกรรมการใช้แอพพลิเคชั่นเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างที่ผ่านมา ลูกบ้านจะใช้แอพพลิเคชั่นในการจองห้องยิม โดยเฉพาะการจองเครื่องออกกำลังกายที่นิยมใช้มากคือเครื่องวิ่ง แต่ปัจจุบันคนใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อดูว่าเครื่องวิ่งมีคนใช้เยอะไหม ถ้าเยอะมากอยากไม่อยากเล่น สะท้อนให้เห็นถึงมิติในการใช้แอพพลิเคชั่นของลูกบ้านมากขึ้น

หรือในกรณีธุรกิจบริการทำความสะอาด จะเป็นรายได้ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เพราะทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดมากขึ้น เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้นหลังเกิดโควิด เช่นเดียวกับพฤติกรรมการสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นจะเพิ่มขึ้นเพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพกลายเป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญอันดับต้นๆ

ต่อจากนี้ไปที่อยู่อาศัยไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยแต่จะเป็นที่ทำงาน ที่ออกกำลังกาย แต่ละเทรนด์จะอยู่ในเซกเมนต์ที่แตกต่างกัน โดยเห็นว่าทาวน์โฮม 5-10 ล้านบาทหรือคอนโดมิเนียม ระดับ2ล้านบาทปลาย จนถึง3 ล้านบาทจะเป็นเทรนด์ที่ตอบโจทย์ พฤติกรรมการทำงานที่บ้าน จะต้องพัฒนาสินค้าที่ตอบรับกับพฤติกรรมของลูกค้า หรือที่อยู่อาศัยที่สามารถออกกำลังกายได้ ถ้าเป็นหมู่บ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีที่ออกกำลังกายในบ้าน

“ตอนนี้เราพยายามสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป เชื่อว่านิยามของที่อยู่อาศัยหลังยุคโควิดจะเปลี่ยนไปแน่นอน ต้องรอดูว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคจะชนะ หรือโลเคชั่นจะยังเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อจะชนะ ต้องตามกลไกตลาดต้องรอดู”

ยกตัวอย่าง ช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายคนเชื่อบ้านแถวปทุมธานีจะขายไม่ได้แล้ว แต่หลังจากนั้นไปปีครึ่งปรากฏว่า ลูกค้ากลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลนี้เหมือนเดิม ทุกอย่างกลไกตลาดจะเป็นตัวนำ ดังนั้นความคิดที่ว่า คอนโดมิเนียมขนาด 25 ตารางเมตริ (ตร.ม.) เล็กไปคนคงไม่อยากอยู่แล้วไปซื้อที่อยู่ไกลหน่อยเพื่อได้พื้นที่เพิ่มขึ้น แต่ท้ายที่สุดอาจกลับมาที่เดิม เพราะเมื่อคำนวณค่าเดินทางแล้วไม่คุ้ม เป็นต้น

อีกนิวนอร์มอล ในภาคอสังหาฯที่จะเห็น คือ การขายผ่านช่องทางออนไลน์ จากเดิมคนเข้ามาดูโครงการก่อนตัดสินใจซื้ออย่างน้อย3 ครั้ง การมีช่องทางออนไลน์ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาดูโครงการถึง3 ครั้งก็สามารถตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งคนซื้อและคนขาย ในยุคนี้ ง

“ตลาดอสังหาฯตอนนี้เล่นสงครามกันเลือดสาดเพื่อระบายสต็อก จากแผนปีนี้เราขึ้นคอนโดมิเนียมสูงแต่จากสถานการณ์คงไม่ขึ้นคอนโดมิเนียม สูง35 ชั้นแต่จะทำคอนโดมิเนียมราคาต่ำล้าน ซึ่งอยู่ระหว่างการขอยื่นอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ สำหรับโครงการแนวราบยังเดินหน้าต่อไป ส่วนจะปรับเป้าหรือหยุดโครงการไหนบ้างนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาอีกครั้ง”