รอขายหุ้นรับดีเดย์ คลายล็อกดาวน์

รอขายหุ้นรับดีเดย์  คลายล็อกดาวน์

ที่ชัดเจนแล้วว่าวันที่ 1 พ.ค. 2563 ประเทศไทยยังมี พ.ร.ก. ฉุกเฉินต่อไปอีก 1 เดือน แต่จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในกลุ่มธุรกิจบริการที่ถูกสั่งปิดไปก่อนหน้านี้ให้รัฐพิจารณา ซึ่งแนวโน้มแบ่งตาม 4 ระดับความเสี่ยงจากน้อยไปมาก

ย่อมมีผลต่อมุมมองการลงทุนตามไปด้วย

ตามระดับความเสี่ยงดังกล่าว จะแบ่งออกเป็นสีต่างๆแบ่งเป็นสีขาว จะสามารถเปิดให้บริการได้วันที่ 4 พ.ค. ซึ่งจะเป็นกลุ่ม ธุรกิจจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น ร้านค้าขนาดเล็ก ร้านอาหารที่เปิดในที่โล่งแจ้ง สวนสาธารณะ

กลุ่มสีเขียว สามารถเปิดให้บริการได้วันที่ 18 พ.ค. ซึ่งเป็นกลุ่มร้านขนาดเล็กติดแอร์ พื้นที่ไม่มาก สนามออกกำลังกายกลางแจ้ง และต้องมีมาตรการควบคุม กลุ่มสีเหลือง สามารถเปิดให้บริการได้วันที่ 1 มิ.ย. จะเป็นกิจการพื้นที่ปิดขนาดใหญ่ คนใช้บริการจำนวนมาก

กลุ่มสีแดงจะสามารถเปิดให้บริการเป็นกลุ่มสุดท้ายคือ 15 มิ.ย. จะเป็นธุรกิจที่มีกิจการความเสี่ยงสูง เช่น สนามมวย แหล่งบันเทิง

หากแบ่งตามกลุ่มดังกล่าวแล้วเทียบกับหุ้นที่ได้รับผลกระทบก่อนหน้านี้ ‘สรพล วีระเมธีกุล ‘ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เชื่อว่าจะเกิดแรงขายกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องในสัปดาห์นี้ จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวดังกล่าวในหุ้นรายกลุ่มทั้งกลุ่มสายการบิน ที่เปิดให้บริการ 1 พ.ค. นี้ หรือกลุ่มโรงแรม ศูนย์การค้า และกลุ่มขนส่ง จนส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมารอรับข่าว

ขณะเดียวกันตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของไทยลดน้อยลงจนอยู่ที่เลขหลักเดียว ซึ่งเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันแล้วไทยดำเนินมาตรการได้ดีกว่า จึงเป็นอีกปัจจัยที่พลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจนมีค่าพี/อี แพงที่สุดในตลาดหุ้นภูมิภาค

จากการรวบรวม stock gossip พบว่า หากเป็นกลุ่มสีขาว ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่ดำเนินการให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบันไม่ได้ปิดหรือระงับชั่วคราว แต่มีอัตราการใช้บริการน้อยลง เช่น กลุ่มขนส่งมวลชน

หุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานตัวเลขผู้ใช้บริการปรับตัวลดลงชัดเจนในเดือน เม.ย. จากเดือนมี.ค. ผู้โดยสารลดลง 40-50 % จากปีก่อน ขณะที่หุ้น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน เดือนมี.ค. ลดลง 25.8 % จากปีก่อน และปริมาณรถใช้ทางด่วนลดลง 11 % ปีก่อน ซึ่งกลุ่มนี้ยังมีแรงกดดันจากกำหนดเคอร์ฟิว 22.00-04.00 น. ต่อ

ขณะที่ในกลุ่มสีเขียว มีหุ้นบริษัท ซีพีออล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ยังเปิดให้บริการตามปกติเจอเคอร์ฟิวเช่นกัน และงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริษัทยอมรับว่า ไตรมาส 1 ปี2563 ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ติดลเน้นเทคโนโลยีเ แพลตฟอร์มดิลิเวอรี่ หรือ จำหน่ายสินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ (VENDING MACHINE)มากขึ้น 

กลุ่มที่ 3 สีเหลือง ตามจำกัดความในอยู่ในธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และพื้นที่เช่า ซึ่งอาจจะเลื่อนเปิดกิจการไปอีก 1 เดือน ทำให้มีผลกระทบกินระยะเวลากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้นมาเพื่อรอข่าวเปิดบริการได้เดือน พ.ค. ทำให้อาจเผชิญแรงขาย

สุดท้ายกลุ่มสีแดงที่มีความเสี่ยง ในมุมมองของ บล. ทิสโก้ คาดว่าโรงภาพยนต์จะเปิดได้ช้าสุดเป็นลำดับสุดท้าย เพราะจัดเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากเป็นสถานที่ปิดที่อยู่ในห้องแอร์และผู้ใช้บริการต้องนั่งอยู่เป็นเวลานานๆ 1-2 ชม.

แม้ว่าหากโรงภาพยนตร์เริ่มเปิดได้แล้วแต่คาดว่าความกังวลของผู้บริโภคยังคงกลัวการแพร่ระบาด และคาดจะหลีกเลี่ยงการเข้าชมภาพยนตร์จนกว่าสถานการณ์จะเบาบางจนสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้ ประกอบกับการเลื่อนฉายภาพยนตร์ของค่ายสตูดิโอต่างประเทศไปปีหน้า