เศรษฐกิจ 'ญี่ปุ่น' และ 'สิงคโปร์' ดิ่งหนักสุดจากโควิด-19

เศรษฐกิจ 'ญี่ปุ่น' และ 'สิงคโปร์' ดิ่งหนักสุดจากโควิด-19

"มูดี้ส์" ชี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ดิ่งหนักที่สุดจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19

สตีฟ โครชราเน หัวหน้านักวิเคราะห์จากมูดี้ส์ หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะฉุดเศรษฐกิจญี่ปุ่นและสิงคโปร์ให้ดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจของสองประเทศอยู่ในฐานะย่ำแย่ตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อเกิดการแพร่ระบาดและมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ จึงเท่ากับซ้ำเติมเศรษฐกิจของ 2 ประเทศนี้

วานนี้ (27 เม.ย.) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อภายหลังการประชุมนโยบายการเงินว่าบีโอเจได้ปรับลดคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2563 ลงสู่ระดับ -3% ถึง -5% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนม.ค.ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.9%

นอกจากนี้ บีโอเจ ยังเปิดเผยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะเวลา 3 ปี จนถึงปีงบประมาณ 2565 โดยคาดว่า อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่บีโอเจกำหนดไว้ที่ 2% ซึ่งบีโอเจคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) จะลดลงสู่ระดับติดลบ โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง -0.3% ถึง -0.7%

ด้าน ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ ระบุว่าบีโอเจจะดำเนินการผ่อนคลายการเงินเพิ่มอีก หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น ในช่วงเวลาที่โรคโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด พร้อมทั้งบอกว่าการที่อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะดีดตัวขึ้นแตะระดับเป้าหมายของบีโอเจที่ 2% ต้องใช้เวลามากขึ้น

"โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทำให้เศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง ซึ่งบีโอเจจะจับตาผลกระทบของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด" ผู้ว่าบีโอเจ กล่าว

ถ้อยแถลงของคุโรดะมีขึ้นหลังจากที่ประชุมบีโอเจมีมติว่าจะผ่อนคลายการเงินเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเพดานการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และเดินหน้าขยายโครงการซื้อสินทรัพย์ โดยมีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบีโอเจจะยกเลิกเพดานการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลรายปีในวงเงิน 80 ล้านล้านเยน (7.45 แสนล้านดอลลาร์) และจะเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน

158806162949

ขณะเดียวกัน บีโอเจตัดสินใจปรับเพิ่มเป้าหมายการซื้อหุ้นกู้ และตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (Commercial Paper) รายปี เป็น 20 ล้านล้านเยน จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. ปีนี้ จากระดับ 7.4 ล้านล้านเยน ที่เคยประกาศซื้อในเดือนมี.ค. เพื่อช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยมาตรการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามรับมือกับการแพร่ระบาดทั่วโลกของโรคโควิด-19

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน ด้วยการขยายขอบข่ายการรับหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้เป็น 23 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือน มี.ค. จากระดับ 8 ล้านล้านเยนซึ่งมีการกำหนดในการประชุมเดือนที่แล้ว

ด้านกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ยังยอมรับว่า เศรษฐกิจระดับภูมิภาคของญี่ปุ่นทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว และอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายมากซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยการประเมินภาวะเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้คำประเมินที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานรายไตรมาสในปี 2544

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในญี่ปุ่น เริ่มผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง ขณะที่รัฐบาลเร่งหามาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเมื่อวันอาทิตย์ (26 เม.ย.) ที่กรุงโตเกียว พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพียง 72 คน ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงโตเกียวต่ำกว่า 100 คน

แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเห็นว่ายังไม่สามารถมั่นใจว่าการติดเชื้อในประเทศลดน้อยลงแล้วจริง ๆ ส่วนการตัดสินใจว่าจะขยายมาตรการล็อกดาวน์หลังวันที่ 6 พ.ค. ออกไปอีกหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีแผนการเพิ่มเงินอุดหนุนการจ้างงานให้กับบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ส่วนกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นมีแผนให้ทันตแพทย์ทำการตรวจหาเชื้อ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อให้กับประชาชนในญี่ปุ่นได้ครอบคลุมและรวดเร็วมากขึ้น โดยจะมีการอบรมทันตแพทย์ให้มีความพร้อม 

ทางการญี่ปุ่นสามารถตรวจหาเชื้อให้กับประชาชนได้เฉลี่ยวันละประมาณ 8,800 คน มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของเดือน มี.ค. ประมาณ 4 เท่า แต่รัฐบาลต้องการเพิ่มจำนวนการตรวจหาเชื้อให้มากขึ้น

ส่วนสิงคโปร์ นายกรัฐมนตรีลี เซียน หลุง ของสิงคโปร์ เคยบอกว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังดำเนินอยู่จะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในอีก 2–3 ไตรมาสหน้าและการระบาดของไวรัสในขณะนี้ถือว่าตึงเครียดมาก

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า สิงคโปร์ เป็นประเทศหนึ่งที่มีประชากรน้อยที่สุดในเอเชีย แต่กำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ถ้าเปรียบเทียบกับสัดส่วนประชากรของประเทศ

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ รายงานวันนี้ (28 เม.ย.) ว่า พบผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 15,000 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 14 ราย

ข้อมูลทางการสิงคโปร์ ยืนยันว่า ผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากมีความเชื่อมโยงกับหอพักสำหรับแรงงานต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานชายจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่มาทำงานใช้แรงงาน เพื่อหารายได้ส่งกลับไปยังครอบครัว

แถลงการณ์ระบุว่า ผู้ป่วยรายใหม่ส่วนใหญ่ถูกกักตัวในสถานที่กักกันของรัฐบาลแล้ว ขณะที่มีผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาลกว่า 1,300 ราย ส่วนยอดรวมผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 12 ราย