เริ่มปลด lockdown
ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวขึ้นราว 8.63 จุด คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก ขานรับหลายประเทศเริ่มคลายล็อกดาวน์เมือง
ส่วนภายในประเทศ มีมติต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉิน-เคอร์ฟิว และผ่อนปรนกิจการบางประเภท ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,276.41 จุด (+8.63 จุด) Volume 4.9 หมื่นลบ. ต่างชาติ -699.07 ลบ. TFEX Net -3,895 สัญญา ตราสารหนี้ -2,672 ลบ.
ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ
+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 358.51 จุด +1.51% ขานรับข่าวหลายรัฐในสหรัฐเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์
-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 4.16 ดอลลาร์ -24.6% ปิดที่ 12.78 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดและคลังน้ำมันของสหรัฐกำลังกักเก็บน้ำมันใกล้เต็มความจุ
-ที่ปรึกษาทำเนียบขาวคาดเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 30% ใน Q2/63 จากพิษโควิด
-ก.พาณิชย์เผยสหรัฐตัด GSP สินค้าไทย 573 รายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 25 เม.ย. ส่งผลผู้นำเข้าต้องเสียภาษีอัตราปกติ
+ทองคำปรับตัวลงจากแรงขายในสินทรัพย์ปลอดภัยและเข้าถือสินทรัพย์เสี่ยง
+ก.คลังชงมาตรการเยียวยาเกษตรกรครัวเรือนละ 15,000 บาทเข้าครม.วันนี้
+ดร.สมคิด รองนายกฯมอบหมายให้สภาพัฒน์กลั่นกรองโครงการฟื้นฟูศก.และสังคมวงเงิน 4 แสนล้านบาทเน้นโครงการที่ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบศก.ได้เร็ว
+/-ศบค.มีมติต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน-เคอร์ฟิว และผ่อนปรนให้เปิดกิจการบางประเภทได้
+ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต +6.96 จุด +0.25%
+ดัชนีนิกเกอิปิด +521.22 จุด +2.71% เช้าเปิด -7.04 จุด เหตุนลท.ขายทำกำไร
-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 1.6 แสนลบ. ค่าเงินบาท 32.46 บาท/US
*จับตาการประชุมครม.สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค. ราคาบ้านเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีแรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ที่จะเสนอต่อการประชุมครม.วันนี้ โดยจะแบ่งตามประเภทธุรกิจที่ป็น 4 สี ได้แก่ ขาว เขียว เหลือง และแดง ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นตัวกดดันตลาด หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ทรุดตัวลงแรง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,255-1,285 จุด
หุ้นรายงานพิเศษ
ประเทศไทยประกาศปิดน่านฟ้าไม่ให้เครื่องบินจากต่างประเทศเข้าตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2563- 31 พฤษภาคม 2563 ส่งผลให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในเดือนเมษายน และ พฤษภาคมจะต่ำกว่าเดือนมีนาคม เป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อาทิ CENTEL ERW MINT โดยหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีการปรับตัวขึ้นมา 30-40% จากจุดต่ำสุดซึ่งสวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยว ให้ระวังแรงขายทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุน
- หุ้น Defensive (RATCH TTW ADVANC CHG)
- หุ้นได้ประโยชน์จากการ Work from home (ADVANC INTUCH DTAC TRUE JAS JASIF DIF COM7 SIS SYNEX)
- หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการทยอยปลด Lockdown (BTS BTSGIF BEM CRC MC AU)
- หุ้น mai ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลงอยู่ในธุรกิจขนส่ง (ATP30 VL SONIC AMA KIAT)
หุ้นมีข่าว
(-) HMPRO (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 14.75 บาท) รายงาน 1Q63 มีกำไรสุทธิ 1,267 ล้านบาท -10.8%YoY เนื่องจากรายได้ -6% เหลือ 1.45 หมื่นล้านบาททำได้ต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากปิดบริการตั้งแต่ 22 มี.ค. และเลื่อนจัดกิจกรรม HomePro Expo ในเดือนมี.ค. ส่วนโฮมโปรในประเทศมาเลเซียปิด 6 สาขาตั้งแต่ 18 มี.ค. – 28 เม.ย. ในช่วง 1Q63 ไม่มีเปิดสาขาใหม่ %GP เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 25% ใน 1Q62 เป็น 25.71% จากการปรับเปลี่ยนส่วนผสมสินค้า คชจ.ขายและบริหารลดลงจากการใช้มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่าส่งผลให้คชจ.ต่อยอดขายลดเหลือ 18.63% จาก 18.77% ใน 1Q62
(+/-) IP (ถือ ราคาเหมาะสม 5.6) จับมือพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา จำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ ตั้งเป้ายอดขายที่ 10 ล้านบาท ชี้ความต้องการล้น ด้านผู้บริหาร "ทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร" แย้มโควิด-19 ระบาด วิตามินซีรวมขายดี ยอดโต 4-5 เท่าตัว (ที่มาทันหุ้น)
ความเห็น เราคาดว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท และ supply chain ในเชิงลบ อีกทั้งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาเหมาะสม เราจึงปรับลดคำแนะนำจาก ซื้อ เหลือ ถือ
(+) กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน “TOP-PTTGC-IRPC-BCP-ESSO-SPRC” เตรียมทยอยปรับลดสำรองน้ำมันดิบเหลือ 4% เป็นเวลา 1 ปี หลังกรมธุรกิจพลังงานออกมาตรการบรรเทาผลกระทบพิษเศรษฐกิจซบ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 63-30 มิ.ย. 64 (ที่มาข่าวหุ้น)
ความเห็น เรามุมมองบวกต่อการลดปริมาณน้ำมันสำรองเนื่องจากจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มโรงกลั่น อย่างไรก็ตามผลประกอบการใน 1Q63 คาดว่าจะออกมาขาดทุนเกือบทั้งกลุ่มและจะฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q63 เป็นต้นไป
(+) WICE (Bloomberg Consensus - บาท) แย้มผลงานไตรมาส 1/63 โตกว่าไตรมาส 1/62 หลังปริมาณส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นแตะ 40% จากเดิม 26% แถมได้แรงหนุน ETL ส่งสัญญาณพลิกมีกำไรในปีนี้ เหตุปรับกลยุทธ์คุมต้นทุน-รับอานิสงส์ราคาน้ำมันลด ลั่นรายได้ปีนี้โต 20% (ที่มาข่าวหุ้น)
(-) AOT (Bloomberg Consensus 60.82 บาท) ยอมรับมาตรการพยุงผู้ประกอบการ-แอร์ไลน์ ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ฉุดรายได้ปีนี้ทรุด 17% ขณะที่ล่าสุดพบสถิติผู้โดยสารไตรมาส 2/63 ร่วง 30.35% เที่ยวบินลดเกือบ 19% ปิดครึ่งปีแรกผู้โดยสารลด 14.29% เที่ยวบินหายเกือบ 10% ฟาก “กพท.” ลุยชัตดาวน์ต่อ! ประกาศขยายเวลาห้ามอากาศยานขนส่งผู้โดยสารบินเข้าไทยยาวถึง 31 พ.ค.นี้ (ที่มา ข่าวหุ้น)
(+/-) SPCG (Bloomberg Consensus 17.05 บาท) เตรียมออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท ระดมทุนรองรับการขยายธุรกิจ-คืนหนี้ หวังเพิ่มสภาพคล่อง จ่อชงที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 11 พ.ค.นี้ พร้อมแจ้งปิดบริษัทย่อย Sakura Solar หลังญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายรับซื้อไฟฟ้า (ที่มา ข่าวหุ้น)
(+) RBF (Bloomberg Consensus - บาท) ผู้กุมบังเหียน RBF ชี้ไตรมาส 2 รับผลบวก รัฐผ่อนคลาย Lockdown เร่งเครื่องเจรจาลูกค้า พร้อมกดปุ่มเดินเครื่องโรงงานผลิตเกล็ดขนัมปัง ในอินโดนีเซีย-เวียดนาม คงเป้ารายได้ปี 2563 เติบโต 10-12% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) EA (Bloomberg Consensus 59.50 บาท) แย้มโรงไฟฟ้าพลังงานลมกำลังการผลิตพุ่ง 120% จากกำลังการผลิตที่ COD แล้ว 386 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าโซลาร์ผลิตได้ใกล้เคียงปีก่อน จากกำลังการผลิตที่ COD แล้ว 278 เมกะวัตต์ เผยธุรกิจ PCM เตรียมส่งมอบไตรมาส 2/2563 นี้ โบรกเคาะเป้า 59.50 บาท ประเมินกำไรปีนี้โต 23% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) SEAOIL (Bloomberg Consensus - บาท) ขายกิจการโซลาร์ฟาร์ม 10 โครงการ กำลังผลิตรวม 7.8 MW โกยเงินเข้าพอร์ต 215 ล้านบาท เบนเข็มสู่ธุรกิจเชี่ยวชาญ Oil&Gas มองวิกฤติเป็นโอกาสแห่งการลงทุน ลุยบริหารเงินสดเพิ่มสภาพคล่อง พร้อมเล็งปรับตัวเลขรายได้ จากเดิมคาดปีนี้โต 20-30% (ที่มา ทันหุ้น)
(+/-) NUSA (Bloomberg Consensus - บาท) เผยเพิ่มทุนขาย PP รับเงิน 1,000 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จเดือนกรกฎาคมนี้ หวังเพิ่มสภาพคล่องและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ต่อยอดธุรกิจ ด้านสุขภาพและเทคโนโลยี ตามแผนภายในปี 2563-2564 ส่วนที่เหลือใช้ลดภาระหนี้สินที่มีต้นทุน (ที่มา ทันหุ้น)