ฝ่าโควิดกับกองทุน 'Global Stock'

ฝ่าโควิดกับกองทุน 'Global Stock'

ผ่านไปแล้วหนึ่งไตรมาสเต็ม ซึ่งต้องยอมรับว่าปี 2563 ไม่ใช่ปีที่ราบรื่นนักสำหรับ "การลงทุน" ในสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ตราสารทุน" ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงลงมาตั้งแต่ต้นปี

...แน่นอนว่าผลตอบแทนของกองทุนต่าง ๆ ที่ลงทุนในหุ้น ย่อมโชว์ตัวเลขที่ไม่ค่อยดีนัก 

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางกองทุนที่มุ่งลงทุนในตราสารทุน และยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้กว่า 13% แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกจะลดลงโดยเฉลี่ย 18% (ผลตอบแทน ณ วันที่ 22 เม.ย. 2563) กองทุนที่ว่านี้ คือ กองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-UGG-RA)

ขึ้นชื่อว่าเป็น "กองทุนโกลบอล" แน่นอนว่ากองทุนนี้เน้นการลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยใช้วิธีการนำเงินไม่ต่ำกว่า 80% ของกองทุน ไปลงทุนกับกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Master Fund) คือ กองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ในหน่วยลงทุนชนิด B ประเภทสะสมมูลค่า ซึ่งจดทะเบียนในสก็อตแลนด์ และถูกควบคุมดูแลโดย Financial Conduct Authority (FCA) ของสหราชอาณาจักร

สำหรับหุ้น 9 ใน 10 ตัวหลักที่ Baillie Gifford นำเงินไปลงทุนขณะนี้ ล้วนเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีของโลก นำโดยบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon ในสัดส่วน 8.3%

ถัดมาคือสองบริษัทเทคโนโลยีจากจีนอย่าง Alibaba และ Tencent ในสัดส่วน 7.3% และ 6.9% 

ส่วนอันดับ 4 คือบริษัท Tesla ในสัดส่วน 6.4% อันดับ 5 เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีด้านการผลิตเครื่องมือถอดรหัสพันธุกรรม คือ Illumina ในสัดส่วน 6.1%

158790472234

ส่วนหุ้นเทคโนโลยีที่ถือครองหลักอีก 4 ตัว ได้แก่ Netflix, Facebook, NVIDIA และ Alphabet (บริษัทแม่ของ Google) นั่นเอง ขณะที่หุ้นอันดับ 9 ในพอร์ตของ Baillie Gifford คือ Kering เจ้าของแบรนด์สินค้าแฟชั่นชื่อดัง อาทิ Gucci, Balenciaga, Yves Saint Laurent เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวคิดการลงทุนโดยรวมของ Baillie Gifford Long Term Global Growth จะเฟ้นหาหุ้น 20 – 30 ตัว ซึ่งมีนวัตกรรมและการเติบโตสูง และมีความสามารถที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปอุตสาหกรรมดั้งเดิม

เมื่อดูจากพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันเหล่านี้ เท่ากับว่าผู้ที่ลงทุนผ่าน ONE-UGG-RA กำลังนำเงินไปลงทุนในบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทที่เติบโตค่อนข้างโดดเด่นในระยะหลัง ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้ 17.73% ต่อปี โดยปี 2560 เติบโต 36.04% ปี 2561 ติดลบ 3.16% ขณะที่ปี 2562 เติบโต 21.26%

ลองมาพิจารณาในส่วนของค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมของกองทุนกันบ้าง ปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ที่ 2.28% ต่อปี โดย ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2562 สินทรัพย์สุทธิของกองทุนอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ต่อหน่วยลงทุน (NAV) ณ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา อยู่ที่ 21.8708 บาท โดยก่อนหน้านี้มูลค่าเคยเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 22.2139 บาท เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

ในแง่ของ "ความเสี่ยง" กองทุน ONE-UGG-RA ถูกจัดว่าเป็นกองทุน "ความเสี่ยงสูง" ในระดับ 6 จาก 9 ระดับ ทำให้ความผันผวนของผลดำเนินงานอาจแกว่งตัวได้ถึงระดับ 15 – 25% และส่วนหนึ่งของความเสี่ยงเป็นผลจากการที่กองทุนอาจต้องลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยง (Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ

ทั้งนี้ กองทุน ONE-UGG-RA เป็นกองทุนเปิดที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา (ตามที่กองทุนกำหนด) โดยเป็นกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งข้อดีของการไม่จ่ายเงินปันผลนั้น คือ จะทำให้มูลค่าของกองทุนเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตามผลประกอบการที่เติบโต

นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างของกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผลคือ ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหลังจากหักค่าธรรมเนียมกองทุนแล้ว จะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะหากเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของภาษีเพิ่มเข้ามา

โดยภาพรวม กองทุน ONE-UGG-RA มีจุดเด่นจากการนำเงินไปลงทุนกับกองทุนที่กระจายการลงทุนในธุรกิจซึ่งมีนวัตกรรม และเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทำให้เงินลงทุนของเรามีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับบริษัทระดับโลก ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับการกระจายการลงทุนที่ดีสำหรับผู้ที่ลงทุนในประเทศไทยเป็นหลักอยู่ก่อนหน้านี้