แผ่อิทธิพลทะเลจีนใต้ ปมขัดแย้งใหม่สหรัฐ-จีน

แผ่อิทธิพลทะเลจีนใต้ ปมขัดแย้งใหม่สหรัฐ-จีน

จีนและสหรัฐมีปัญหาขัดแย้งกันอีกครั้ง คราวนี้เป็นประเด็นการขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่สหรัฐ

ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ (24 เม.ย.) “ไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวตำหนิจีนระหว่างการประชุมทางไกลร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสมาคมอาเซียนเมื่อวันพฤหัสบดี(23 เม.ย.) ว่า จีนกำลังฉวยโอกาสจากการที่ประเทศต่าง ๆ กำลังยุ่งกับการจัดการแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ขยายบทบาทอิทธิพลของตนมากขึ้นในทะเลจีนใต้

ปอมเปโอ กล่าวถึงการที่จีนประกาศตั้งเขตบริหารพิเศษเหนือหมู่เกาะสแปรตรีย์ และหมู่เกาะพาราเซลล์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่กรณีพิพาทระหว่างจีนกับหลายประเทศของอาเซียน รวมทั้งการจมเรือประมงของเวียดนามในเดือนนี้ และการตั้งสถานีวิจัยหลายแห่งบนแนวเกาะปะการังเฟียรี ครอสส์ กับแนวหินปะการัง Subi Reef

นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังกล่าวถึงการที่จีนส่งเรือติดอาวุธเข้าไปข่มขู่ประเทศอื่น ๆ ที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือบางพื้นที่ในทะเลจีนใต้ เพื่อกีดกันไม่ให้ประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติและแหล่งน้ำมันใต้ทะเล

หมู่เกาะนี้เป็นข้อพิพาทอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันระหว่างเวียดนาม, จีน และไต้หวัน และที่ผ่านมา เวียดนามเรียกร้องให้รัฐบาลจีนชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวประมง ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด และป้องกันไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

   

อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาจีนของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไม่ได้หยุดแค่การแผ่อิทธิพลในทะเลจีนใต้เท่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน รายงานสถานการณ์โรคโควิด-19 ในรอบวันที่ผ่านมา ว่าผู้เสียชีวิตยังสะสมอยู่ที่อย่างน้อย 4,632 คน ขณะที่จำนวนผู้ป่วยสะสมเพิ่มเป็นอย่างน้อย 82,798 คน หลังมีการยืนยันผู้ป่วยอีก 10 คน แบ่งเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 4 คน และผู้ป่วยจากต่างประเทศ 6 คน 

แต่ปอมเปโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันยังคงมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลปักกิ่งไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ตามกรอบระยะเวลาที่เหมาะสม ถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบขององค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) โดยเฉพาะการที่จีนไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากคนสู่คนอย่างทันท่วงทีแต่กลับปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยไปจนกระทั่งพบการแพร่ระบาดของโรคครบทุกมณฑล

นอกจากนี้ ปอมเปโอ ยังกล่าวหาจีนว่าระงับการตรวจสอบตัวอย่างเชื้อไวรัสโคโรนาที่รวบรวมมาใหม่ และทำลายตัวอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่สำคัญยังไม่เคยแบ่งปันตัวอย่างกับนานาประเทศ ทำให้เป็นการยากที่จะวิเคราะห์วิวัฒนาการของเชื้อไวรัสโคโรน่า

ล่าสุด ปอมเปโอ ระบุว่า การระบาดใหญ่ของโรคโควิด19 แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องยกเครื่ององค์การอนามัยโลกเสียใหม่ พร้อมเตือนว่า สหรัฐอาจไม่กลับมาให้เงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลกอีก และอาจตั้งองค์กรทางเลือกของตนเองแทน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกำลังโจมตีองค์การอนามัยโลกอีกระลอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครตก็กล่าวหาว่า รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามทำให้องค์การอนามัยโลกเป็นแพะรับบาป เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความล้มเหลวของรัฐบาลสหรัฐเอง ในการจัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐ

สส. พรรคเดโมแครต เรียกร้องในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดีทรัมป์ ให้สหรัฐกลับไปให้การสนับสนุนองค์การอนามัยโลกทันที หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ ประกาศระงับการให้เงินสนับสนุน พร้อมกล่าวหาว่าองค์การอนามัยโลกยึดจีนเป็นศูนย์กลาง และสนับสนุนการบิดเบือนข้อมูลของจีนเกี่ยวกับการระบาด

ในส่วนของจีน ไม่ได้ออกมาตอบโต้การกล่าวหาของปอมเปโอในทันที แต่ดำเนินการบางอย่างที่ตรงข้ามกับสหรัฐ โดย “กัง ฉูอัง” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ประกาศว่า รัฐบาลจีนตัดสินใจที่จะบริจาคเงินอีก 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อมอบให้กับดับเบิลยูเอชโอเพิ่มเติมจากการบริจาคครั้งก่อน 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนงบประมาณขององค์การอนามัยโลกในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19และส่งเสริมระบบสาธารณสุขของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนย้ำว่า จีนสนับสนุนองค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนและเชื่อมั่นของรัฐบาลและประชาชนชาวจีนที่มีต่อองค์การอนามัยโลก

การกระทำของจีนสวนทางกับสหรัฐ เพราะเดิมทีนั้น สหรัฐเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้กับองค์การอนามัยโลก แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐได้กล่าวหาองค์การอนามัยโลกบริหารงานผิดพลาดในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐประกาศระงับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์การอนามัยโลก โดยหาว่าปกปิดเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในประเทศจีน 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สหรัฐจัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์การอนามัยโลกระหว่าง 400-500 ล้านดอลลาร์ต่อปี ต่างกับของจีนซึ่งสนับสนุนปีละราว 40 ล้านดอลลาร์