จับตา! อาเซียน ฮอตสปอตใหม่ 'COVID-19'

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อาจกลายเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้ อาเซียนมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่(โรคโควิด-19) มากกว่า 28,000 ราย โดยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซียคิดเป็นสัดส่วน 87.9% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด

ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ในอาเซียนยังคงต่ำกว่าในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีจำนวนหลายแสนราย แต่ผลการศึกษาบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในอาเซียนอาจมากกว่าที่มีการรายงานหลายหมื่นคน เนื่องจากหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีอัตราการตรวจหาผู้ติดเชื้อในระดับต่ำ

ขณะที่ "สิงคโปร์" มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่รายใหม่จำนวน 1,111 รายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ขณะนี้สิงคโปร์มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่สะสมรวม 9,125 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียน และแซงหน้าอินโดนีเซีย ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 7,135 ราย

จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,111 รายของสิงคโปร์ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหอพัก และมีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เป็นชาวสิงคโปร์ หรือผู้พำนักอาศัยถาวรในสิงคโปร์

นอกจากนี้ สิงคโปร์ ยังมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 11 ราย ต่ำกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในภูมิภาค จำนวน 590 ราย

จุดเปลี่ยนของสิงคโปร์มาจากการระบาดซ้ำรอบสองตั้งแต่ 17 มี.ค. ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทะยานจาก 266 เป็นกว่า  9,000 คน อย่างรวดเร็ว

ไซมอน เทย์ ประธานสถาบันกิจการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ กล่าวว่า ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อในหลายประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ดำเนินการอย่างรวดเร็วในการควบคุมการแพร่ระบาด ขณะที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย จะต้องเพิ่มอัตราการตรวจหาผู้ติดเชื้อ

ขณะที่ซีเอ็นเอ็น นำเสนอรายงานวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของสิงคโปร์ ที่พลิกผันจากการเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของโลกในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 จนล่าสุด กลายเป็นชาติที่มีพบจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในอาเซียนว่า จุดเปลี่ยนแรกของสิงคโปร์มาจากการระบาดซ้ำรอบสองตั้งแต่ 17 มี.ค. ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทะยานจาก 266 เป็นกว่า  9,000  คนอย่างรวดเร็ว ขณะที่สิงคโปร์มีพื้นที่เพียง 700 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่ามหานครนิวยอร์กของสหรัฐ และมีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน การพบผู้ป่วยจำนวนดังกล่าวจึงถือว่ามีความสำคัญมาก

สื่อชั้นนำของสหรัฐ ระบุว่า ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุดน่าจะมาจากการระบาดในบรรดาคนงานผู้ต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แออัด และไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลสิงคโปร์เท่าที่ควร รวมทั้งประเมินความเร็วของการแพร่ระบาดต่ำเกินไปในช่วงที่รัฐบาลไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์

ขณะที่จุดหักเหใหญ่ต่อมาของสิงคโปร์ เกิดขึ้นในเดือนเม.ย. รัฐบาลไม่ได้ตรวจหาเชื้อจากบางคลัสเตอร์ ประกอบกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มาตรการของสิงคโปร์ที่เบากว่าหากเทียบกับประเทศอื่นใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อควบคุมผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศได้ 

แต่ล่าสุด การติดเชื้อระหว่างคนสู่คนรวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่จะค้นหาและควบคุมได้ทัน เนื่องจากสิงคโปร์ไม่ได้ใช้มาตรการการชะลอการแพร่ระบาดอย่างล็อกดาวน์ และการลดระยะห่างทางสังคม

การติดเชื้อระหว่างคนสู่คนรวดเร็วเกินกว่าที่เจ้าหน้าที่จะค้นหาและควบคุมได้ทัน เนื่องจากสิงคโปร์ไม่ได้ใช้มาตรการการชะลอการแพร่ระบาดอย่างล็อกดาวน์ และการลดระยะห่างทางสังคม