หุ่นยนต์ 5G สู้โควิด จุดพลุ NEW NORMAL วงการแพทย์
เจาะภารกิจทีม โรโบติกส์ แล็ป ดันหุ่นยนต์ 5จี ช่วยหมอ-พยาบาลดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ยกระดับหุ่นยนต์เป็นหน้าด่านสู้ไวรัส
เอไอเอส เดินหน้าภารกิจ “AIS 5G สู้ภัย โควิด-19” เต็มสูบ นำพลานุภาพ 5จี ร่วมแก้วิกฤติ ช่วยเหลือคนไทยทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางทีม เอไอเอส โรโบติกส์ แล็ป ที่พัฒนาหุ่นยนต์ 5จี รายแรกรายเดียวในไทย ผู้ช่วยคุณหมอตัวแรกของประเทศ ที่เชื่อมต่อระบบปฏิบัติการบนเครือข่าย 5จี ได้สำเร็จ มีแผนส่งมอบหุ่นยนต์ทั้ง 23 ตัว ให้กับโรงพยาบาล 22 แห่ง ภายในต้นเดือนพ.ค.นี้ ภายใต้งบสู้ศึกโควิด 100 ล้านบาท
หลังจากที่ประเทศไทยเปิดให้มีการประมูล 5จี ไปเมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แม้อาจยังไม่เห็นการประยุกต์ใช้ 5จี ในอุตสาหกรรมมาก่อน เพราะยังถือว่า 5จี เป็นเรื่องใหม่ แต่มาในวันนี้ เมื่อมีศัตรูที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) จึงได้นำเอา "5จี ที่จับต้องได้ เพื่อทุกชีวิต” ร่วมพลิกโฉม สร้าง New Normal ให้วงการแพทย์ เพื่อให้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ การนำ 5จี เข้ามาช่วยดูแลรักษาชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น และผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน
อัดงบฉุกเฉินสู้ภัยโควิด
วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า “ตามที่เอไอเอส ได้ประกาศวิสัยทัศน์ นำศักยภาพเครือข่าย 5จี ที่ทรงพลานุภาพ และความรู้ความเชี่ยวชาญของคนเอไอเอส มาร่วมแรงร่วมใจ ช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยของเราผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ภายใต้งบประมาณที่บริษัทตั้งไว้ 100 ล้านบาท
โดยวันนี้ เราได้ทุ่มสรรพกำลังเครือข่าย 5จี ตลอดจนระดมนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญที่มากด้วยประสบการณ์การพัฒนาหุ่นยนต์ของเอไอเอส จัดตั้งทีมเฉพาะกิจ เอไอเอส โรบอติกส์ แล็ป บาย เอไอเอส เน็กซ์ โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ทำงานบนเครือข่าย 5จี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทางการแพทย์ใช้งานจริง ในฐานะที่บุคลากรทางการแพทย์ ต้องทำงานอย่างหนัก เป็นด่านหน้าที่ต้องรับมือและเผชิญกับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโดยตรง ซึ่งหุ่นยนต์จะมาทำหน้าที่ตรงนี้แทน
ผสาน5จีกับเทคนิคขั้นสูง
โจทย์ของทีม เอไอเอส โรโบติกส์ แล็ป ในการพัฒนาหุ่นยนต์ จึงเริ่มต้นจาก Pain Point นี้ ทำอย่างไร เราจึงจะมีส่วนช่วยในการแบ่งเบาภาระ ลดความเสี่ยงติดเชื้อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ และมีฟังก์ชันที่ FIT IN ช่วยให้การทำงานของทีมแพทย์สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้น รวมถึงประหยัดงบประมาณในการใช้อุปกรณ์ป้องกันปลอดเชื้อ
ทั้งนี้ ทีมพัฒนาจึงได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงที่หลากหลาย เข้ามาผสมผสานกับเครือข่าย 5จี ภายใต้ระบบประมวลผล เอไอเอส โรบอท แพลตฟอร์ม ซึ่งเอไอเอสพัฒนาขึ้นเอง ออกแบบเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยคุณหมอ “ROBOT FOR CARE” ซึ่งมีฟีเจอร์อัจฉริยะ
ประกอบด้วย 1.อินฟราเรด ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างแม่นยำ โดยส่งผลข้อมูลผ่านเครือข่าย 5จี ไปให้แพทย์ที่ให้การรักษาได้อย่างทันที 2. 3D Mapping กำหนดแผนที่เส้นทางเดินของหุ่นยนต์ ให้เคลื่อนที่เข้าหาผู้ป่วยได้โดยอัตโนมัติ อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังสามารถบังคับหุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ตามต้องการผ่านเครือข่าย 5จี
3. ระบบปรึกษาทางไกลระหว่างแพทย์และผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอล เพื่อให้แพทย์ที่อยู่ด้านนอกห้อง ใช้สมาร์ทดีไวซ์ เชื่อมต่อมาที่ตัวหุ่นยนต์ เพื่อพูดคุยและดูอาการคนไข้ภายในห้องพัก หลีกเลี่ยงการเข้ามาสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรงได้ 4.คลาวด์ คอมพิวติ้ง ในการประมวลผลจัดเก็บข้อมูลการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
รองรับหลายแพลตฟอร์ม
เขา ระบุอีกว่า หุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นสามารถเสริมฟีเจอร์ต่างๆ ในตัวหุ่นยนต์ได้ตามที่แต่ละโรงพยาบาล อาทิ ตรวจวัดค่าออกซิเจนในเลือด, ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงเตียง, บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือเคลื่อนที่ เป็นต้น โดยหัวใจสำคัญของหุ่นยนต์ คือ การปฏิบัติงานบนเครือข่าย 5จี เพื่อใช้ในการประมวลผลในหลายส่วน อาทิ ค่าอุณหภูมิและ face signature ของผู้ถูกตรวจจะถูกถ่ายและส่งผ่าน 5จี ไปเก็บที่ดาต้า เซ็นเตอร์, สามารถวีดีโอ คอลล์ จากศูนย์ควบคุมมาที่หุ่นยนต์เพื่อให้ความช่วยเหลือต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติการ
ซึ่งเมื่อขับเคลื่อนการทำงานบนเครือข่าย เอไอเอส 5จีที่มีความเร็วสูง การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วงต่ำ พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไอโอทีที่หลากหลาย ทำให้หุ่นยนต์พร้อมปฏิบัติงานเข้าดูแลผู้ป่วยทันที การรับส่งข้อมูลระหว่างแพทย์กับหุ่นยนต์ก็เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาพยาบาลได้อย่างดี
ในอนาคต ทีม เอไอเอส โรโบติกส์ แล็ป ได้เตรียมพัฒนาขยายขีดความสามารถของหุ่นยนต์ให้สามารถรองรับบริการทางการแพทย์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ทำงานผ่านทางเสียง,ทำความสะอาดด้วยตัวเอง ผ่านโอโซน และยูวี มีระบบจดจำใบหน้า
"เอไอเอส มีประสบการณ์การทดลองทดสอบ 5จีในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งการแพทย์ จึงเชื่อมั่นว่า 5จี มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมแก้ปัญหา พาประเทศก้าวพ้นวิกฤตินี้ และถือเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน 5จี อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อร่วมพลิกโฉมและสร้าง New Normal ให้เกิดขึ้นในวงการแพทย์ไทยในอนาคตอีกด้วย”
