ดูแลรถช่วง (จอดนิ่ง) สงกรานต์

ดูแลรถช่วง (จอดนิ่ง) สงกรานต์

เปิดวิธีดูแลรถยนต์เมื่อต้องจอดไว้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่หลายคนไม่ค่อยได้ใช้รถอย่างที่เคย

สงกรานต์ปีนี้ที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วัน จะแตกต่างไปจากปีก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง การเดินทางลดลง การใช้งานรถยนต์ลดลง และแน่นอนความหนาแน่นของรถยนต์บนท้องถนนในหลายเส้นทาง และหลายๆ พื้นที่ที่จัดงานจะลดลงด้วยเช่นกัน

ปกติในทุกๆ ปี เราจะมาพูดถึงการเตรียมความพร้อม และการดูแลรักษาสำหรับรถยนต์ที่ต้องใช้งานหนัก ซึ่งหมายถึงรถที่ใช้งานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่รถติด ร้อน หรือว่าเส้นทางขึ้นลงเขาเหล่านี้ ถือว่าเป็นรถใช้งานหนัก แต่ปีนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ในทางกลับกันในช่วงประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา การใช้งานรถยนต์ลดลง เนื่องจากมาตรการภาครัฐที่ลดการเดินทาง และการสนับสนุนของภาคเอกชนและประชาชนที่ลดการเดินทางลง รวมถึงปรับนโยบายการทำงานใหม่ เป็นการทำงานที่บ้าน หรือ “เวิร์ค ฟอร์ม โฮม” มากขึ้น

แต่การที่รถจอดอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่ต้องดูและอะไร แต่กลับกัน ต้องดูแลมากขึ้นด้วยซ้ำไป เพื่อยืดอายุการใช้งาน และคงสภาพให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อจะต้องใช้งานอีกครั้ง

วิธีการดูแลรักษาก็มีหลายวิธีการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องพื้นฐาน ทำได้ไม่ยาก และทำได้เองเป็นส่วนใหญ่ เหมือนอย่างเช่นข้อแนะนำที่ “ควิกเลน” ฝากไปถึงผู้บริโภค ใน 9 วิธีการหลักๆ คือ

1.ล้างรถเอาคราบสกปรกที่อาจติดแน่น และทำร้ายพื้นผิวรถยนต์หากต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน โดยอาจลงแว็กซ์เคลือบสีรถ เพื่อเพิ่มการรักษาและการป้องกันพื้นผิวที่มากขึ้น

2.เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หากต้องจอดรถนานนับเดือน เพื่อช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ เนื่องจากน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วมักมีสิ่งปนเปื้อน และมีสภาพเป็นกรด ซึ่งอาจทำร้ายชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ได้

3.ไม่ควรดึงเบรกมือ เพราะเบรกอาจติดได้ และอาจเจอปัญหาขยับรถไม่ได้ เมื่อต้องการเคลื่อนรถ หากต้องการไม่ให้รถไหล ให้ใช้บล็อกไม้หรือวัสดุอื่นที่ไม่ทำความเสียหายให้กับยางรถยนต์วางไว้ที่ล้อแทน

4.เติมน้ำมันเต็มถัง เพื่อป้องกันความชื้นที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ และช่วยป้องกันการเกิดสนิมภายในถังน้ำมัน กรณีถังเป็นโลหะ

5.เช็คและเติมลมยาง ให้ได้ค่าตามที่ผู้ผลิตรถกำหนด ควรตรวจเช็คลมยางสัปดาห์ละครั้ง เพื่อรักษาลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยคงสภาพและรูปทรงของยางได้

6.หาที่จอดรถที่เหมาะสม เพราะแสงแดดและฝนหรือความชื้นส่งผลกระทบต่อสภาพและอุปกรณ์ของรถ หลีกเลี่ยงการจอดใต้ต้นไม้ใหญ่เนื่องจากกิ่งหรือยางไม้อาจหักหรือหล่นมาโดนรถ และการจอดในบริเวณพงหญ้าและจุดทิ้งขยะเพราะมีโอกาสที่หนูจะเข้าไปอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถ

7.สตาร์ทรถเป็นระยะ เพราะการจอดรถทิ้งไว้โดยไม่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์เป็นเวลานาน ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เพราะระบบของรถ เช่น ระบบกันขโมย วิทยุ กล่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงดึงไฟจากแบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา

และถ้าเป็นไปได้ ควรนำรถออกไปขับประมาณ 15-30 นาที เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี และช่วยให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ได้ยืดเส้นยืดสาย ให้ได้รับการหล่อลื่นและช่วยไม่ให้เกิดการติดขัดเฉพาะจุด นอกจากนี้ให้เปิดแอร์ในขณะที่สตาร์ทรถด้วย เพื่อช่วยให้ชิ้นส่วนในระบบได้ทำงานบ้าง

8.ขยับรถเพื่อรักษาสภาพยาง เนื่องจากการจอดรถอยู่กับที่นานๆ จะทำให้เกิดการยุบตัวของยางส่วนที่สัมผัสกับพื้น ส่งผลให้โครงยางเสียรูปและไม่กลม จึงควรขับเคลื่อนรถ เพื่อให้ยางได้หมุนบ้าง โดยอาจจอดห่างจากจุดเดิมประมาณ 50 ซม. เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งจุดรับน้ำหนักของยาง

9.ป้องกันไม่ให้สัตว์เข้ารถตามช่อง ซอก และรูของรถ เช่น ท่อไอเสีย ช่องลม เป็นต้น เพราะนอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นแล้ว สัตว์พวกนี้อาจเข้าไปกัดชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงสายไฟได้ผู้ขับขี่ จึงควรหาวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เข้า

และเมื่อจะนำรถออกมาใช้อีกครั้ง ควรตรวจเช็คสภาพรถทั้งภายนอก ภายใน ระบบไฟ เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งรวมถึงสภาพยางปัดน้ำฝน แบตเตอรี่ ลมยาง ไปจนถึงระดับของเหลว เช่น น้ำมันเบรก น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในปริมาณและสภาพที่เหมาะสมพร้อมใช้งาน