“บิ๊กโรงแรม”ระงับแผนลงทุน กอดเงินสด-รักษาจ้างงาน

“บิ๊กโรงแรม”ระงับแผนลงทุน กอดเงินสด-รักษาจ้างงาน

ย้อนไปเมื่อปลายปี 2562 แม้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ธุรกิจโรงแรมก็ยังประกาศเดินหน้าแผนลงทุนปี 2563 รับดีมานด์นักท่องเที่ยวที่แนวโน้มยังเป็นบวกแม้โตไม่หวือหวาเหมือนเดิม

กระทั่งเผชิญจุดพลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลามหนักกระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทางทั่วโลก แถมไม่รู้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร กระเทือนต่อการให้บริการจนต้องประกาศปิดโรงแรมชั่วคราวรวมถึงสภาพคล่องในมือ ถึงคราวผู้ประกอบการโรงแรมต้อง “ทบทวนแผนลงทุน” ในปีนี้

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในวันที่ดุสิตธานี มีความจำเป็นต้องปิดโรงแรมทั้ง 7 แห่งในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังได้ยืดระยะเวลาจนน่าจะเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่ประกาศปิดโรงแรมชั่วคราว

“เรามีมาตรการเพื่อให้เกิดผลกระทบกับพนักงานน้อยที่สุด โดยเฉพาะพนักงานระดับปฏิบัติการ เราพยายามจะไม่ให้กระทบเลย เพราะทราบอยู่แล้วว่าพนักงานกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการการประคับประคอง จึงต้องดูแลให้ดี สิ่งที่ดุสิตธานีทำก็คือผู้บริหารยอมลดเงินเดือนตัวเองลง โดยผู้บริหารระดับสูงและระดับรองลงมาได้ลดเงินเดือนตามสัดส่วนตั้งแต่ลด 50% จนถึง 25% เพื่อให้พนักงานที่อยู่ในฐานล่างปิรามิดของเราไม่ได้รับผลกระทบ ระดับปฏิบัติการยังคงได้รับเงินเดือน 100% ได้รับสวัสดิการเหมือนเดิม ไม่มีการลดคน แม้โรงแรมจะปิดให้บริการชั่วคราว”

รายงานข่าวจากบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ระบุเพิ่มเติมว่า จากการหยุดทำการของโรงแรมในประเทศที่บริษัทฯเป็นเจ้าของเป็นการชั่วคราว ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ จึงได้เตรียมแผนลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อรายได้และความสามารถในการทำกำไร โดยปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตลอดจนมีการลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานที่สำนักงานส่วนกลาง โดยให้ทำงานจากที่บ้าน เป็นต้น

ในด้านสภาพคล่องทางการเงิน ณ สิ้นปี 2562 บริษัทฯและกลุ่มบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นมากกว่า 3 พันล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้มากกว่า 1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังดำเนินการหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมผ่านสถาบันการเงินในรูปแบบของเงินกู้โครงการที่บริษัทฯได้ดำเนินการไปแล้ว เป็นการเพิ่มสภาพคล่องของบริษัทฯ โดยการลดยอดเงินกู้ระยะสั้นเมื่อได้เบิกถอนเงินกู้โครงการดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทฯยังคงดำเนินการตามแผนการปรับปรุงคุณภาพพอร์ตทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและระยะยาวได้

ในด้านการลงทุน ดุสิตธานีอยู่ระหว่างทบทวนแผนการลงทุนในปี 2563 และปรับลดระดับเป้าหมายการขยายกิจการ เพื่อสำรองเงินไว้ในการดำรงสภาพคล่องของกิจการ โดยตระหนักถึงผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯเป็นสำคัญ

ก่อนหน้านี้เพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บริษัทฯได้จัดตั้งทีมบริหารในการจัดการภาวะวิกฤติตามแผนการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจเพื่อดำเนินมาตรการต่างๆ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานและพิจารณาค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด บริษัทฯจึงได้ปรับลดเบี้ยประชุมและผลตอบแทนกรรมการ ลดเงินเดือนระดับผู้บริหารทั้งในส่วนของสำนักงานใหญ่และโรงแรมเป็นการชั่วคราว และขอยืนยันที่จะดูแลพนักงานทุกคนของบริษัทฯเพื่อให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“การบริหารสภาพคล่องและกระแสเงินสดเป็นสิ่งที่ดิเอราวัณกรุ๊ปให้ความสำคัญอย่างมากภายในสถานการณ์นี้ โดยสิ้นปี 2562 บริษัทฯมีเงินสดจำนวน 969 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯได้พิจารณาระงับการลงทุนในโครงการทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงโดยคำนึงสถานการณ์และสภาพคล่องของบริษัทฯเป็นปัจจัยสำคัญ”

ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในสถานการณ์นี้บริษัทฯให้ความสำคัญในการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่อง โดยบริษัทมีเงินสด ณ สิ้นปี 2562 จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปอีกจำนวน 250 ล้านยูโร จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท นอกจากนี้แผนการลงทุนในสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดได้ถูกระงับไว้ชั่วคราว และจะมีการดำเนินการต่อเมื่อเพื่อให้เป็นไปตามภาระผูกพันที่ได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น

ฟากเซบาสเตียน บาแซง ประธานกรรมการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารแอคคอร์ (Accor) เชนรับบริหารโรงแรมระดับโลก กล่าวว่า หลังจากแอคคอร์ได้เริ่มใช้มาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา อาทิ ห้ามการเดินทาง ระงับการจ้างงานชั่วคราว ลดชั่วโมงการทำงาน และ/หรือการพักงานสำหรับ 75% ของทีมงานในสำนักงานใหญ่ในไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารและทั่วไปลดลงอย่างน้อย 60 ล้านยูโรในปี 2563 พร้อมกับทบทวนแผนการลงทุนประจำปี 2563 ส่งผลให้รายจ่ายเพื่อการลงทุนขยายธุรกิจลดลงอย่างน้อย 60 ล้านยูโร นอกจากนี้ทางกลุ่มยังได้ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น การขาย การตลาด และไอที เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ทั้งระบบที่ลดลง