SCC - ถือ

SCC - ถือ

ธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่แข็งแกร่งจะช่วยชดเชยธุรกิจซีเมนต์

เราคาดว่ากำไรใน 1Q20 จะอยู่ที่ราว 7.0พันล้านบาท (-1% qoq และ -40% yoy) โดยอัตรากำไรที่แข็งแกร่งในธุรกิจเคมีจะช่วยชดเชยธุรกิจปูนซีเมนต์ที่อ่อนแอลง เราคาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์จะลดลง 6% yoy ในขณะที่ราคาขายจะอยู่ที่ระดับเดิมที่ 1,750-1,800บาท/ตัน ผู้บริหารยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะปิดโรงงาน MOC ใน 2Q20 หรือไม่ ซึ่งเราจะทราบผลในปลายเมษายน คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF ที่ 350บาท เทียบเท่า PE 14.3 เท่าของกำไรปี FY20F และให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ 3.5%

 

ธุรกิจเคมีภัณฑ์แข็งแกร่งขึ้น แต่ธุรกิจปูนซีเมนต์อ่อนแอลง

เราคาดว่า SCC จะมีกำไรสุทธิใน 1Q20 ประมาณ 7 พันล้านบาท -1%qoq และ -40%yoy ธุรกิจปิโตรฯยังแข็งแกร่ง PE และ PP spreads เพิ่มขึ้นสู่ระดับ US$399/ตัน และ US$546/ตัน จาก US$301 and US$509 ใน 4Q19 อย่างไรก็ตามบริษัทอาจมี Stock loss ประมาณ 765 ล้านบาทจากราคา  naphtha ที่ลดลง (-US$100/t qoq) แต่ยังน้อยกว่า 4Q19 ที่มี Stock loss 1.06 พันล้านบาท ธุรกิจปูนคาดความต้องการปูนซีเมนต์จะลดลง 6% yoy จากการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลที่ล่าช้า ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่อ่อนตัวลง (คิดเป็น50%ของความต้องการทั้งหมด) และการ lockdown ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ในขณะที่ราคาขายปูนซีเมนต์ใกล้เคียงไตรมาสที่แล้วที่ 1,750-1,800บาท/ตัน EBITDA margin ของธุรกิจปูนซีเมนต์จะเท่ากับไตรมาสที่แล้วที่ 10% จากราคาถ่านหินที่ลดลงซึ่ง SCC ได้ซื้อถ่านหินที่จำเป็นต้องใช้สำหรับปีนี้ไปแล้ว 50% (5ล้านตันต่อปี) ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีความต้องการที่แข็งแกร่งเพราะ 67% ของความต้องการอยู่ในสินค้าอุปโภคบริโภค และคาดว่าจะสร้างกำไรให้กับ SCC ในไตรมาส 1Q20F ราว 1.3พันล้านบาท +5% qoq เติบโตจากธุรกิจอาหารและ e-commerce (คาด SCC ประกาศงบ 1Q20 ประมาณวันที่ 29 เม.ย.)

 

SCC จะตัดสินใจเรื่องการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC ในปลายเดือนเมษายน

SCC จะตัดสินใจว่าจะปิดซ่อมบำรุงโรงงาน (MOC) เป็นเวลา 45 วัน หรือไม่ในปลายเดือนนี้ (กำลังการผลิต ethylene 9แสนตันและ propylene 8แสนตัน) เราคาดว่าการปรับขึ้นของ HDPE และ PP spreads จากราคาวัตถุดิบ naphtha ที่ลดลงอาจจะไม่มั่นคงนัก เนื่องจากราคา HDPE และ PP ได้ลดลงด้วย US$80/t และ US$140/t qoq ในเดือนเมษายนไปสู่ US$760 และ US$824 ในขณะที่ราคา naphtha ลดลงจาก US$240/t ใน4Q19สู่ US$204/t ซึ่งทำให้ HDPE และ PP spreads เฉลี่ยอยู่ที่ US$556/t and US$620/t ในเดือนเมษายนจาก US$399/t and US$546/t ใน 1Q20 ในด้านของกำลังการผลิตใหม่ ในปี 2020 จะมีกำลังการผลิตใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านตันและ 6.2 ล้านตัน จากกำลังการผลิตเดิมที่ 48.2 ล้านตัน และ 80 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 7% และ 7.5% ตามลำดับ เทียบกับการเติบโตของความต้องการอยู่ที่ระดับ 4% ต่อปี

   

คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 350 บาท (DCF Method)

เราคงมุมมองบวกต่อผลประกอบการในระยะสั้น จากอัตรากำไร PE and PP ที่แข็งแกร่ง แต่ควรระวังในเรื่องวัฏจักรของอุตสาหกรรม อัตรากำไรที่ดีของเคมีภัณฑ์จะช่วยชดเชยผลจากการปิดซ่อมบำรุง MOC ใน 2Q20 ราคาเป้าหมาย 350 บาทต่อหุ้นนั้นเทียบเท่า PE 14.3 เท่าและผลตอบแทนเงินปันผลที่ 3.5%