PSTC - ซื้อ

PSTC - ซื้อ

กำไรปกติ 4Q62 เติบโต QoQ แต่คาดกำไรปี 63 หดตัวจาก COVID-19

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

  • รายงานกำไร 4Q62 ที่ 37 ล้านบาท หดตัว 99%QoQ แต่เติบโต 64%YoY: งวด 4Q62 บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 37 ล้านบาท หดตัว 99% QoQ เนื่องจากไม่มีกำไรจากการขายเงินลงทุนเหมือน 3Q62 อย่างไรก็ตามหากพิจารณาผลการดำเนินงานปกติจะเติบโต 77%QoQ และ 64%YoY จากรายได้ที่เติบโตสู่ 845 ล้านบาท +10%QoQ และ +11%YoY เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากการก่อสร้างคลังน้ำมัน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 11% จากไตรมาสก่อนสู่ 12.3% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างอยู่ที่ 14.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัท ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวลงจาก 21.7% ในไตรมาสก่อนสู่ 6.3% ใกล้เคียงเดิมหรือเป็นตัวเงินที่ 53.1 ล้านบาท เนื่องจาก 3Q62 มีการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าและการตัดรายการสินทรัพย์ของบริษัทย่อยที่เลิกใช้งานและการตัดรายการเงินลงทุนโครงการที่ไม่มีการพัฒนาต่อราว 100 ล้านบาท นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายทางการเงินปรับตัวลง 12%QoQ มาที่ 30.4 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางภาษีกลับสู่ภาวะปกติที่ 8 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีกำไรจากการขายเงินลงทุนเหมือนใน 3Q62 โดยปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,129 ล้านบาท เติบโตอย่างมีนัยฯ จากปี 2561 ขณะที่กำไรปกติเติบโต 40%YoY สู่ 119 ล้านบาท
  • ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 63 ลง 38% สู่ 98 ล้านบาทจากผลกระทบ COVID-19 : ปี 2563 เราปรับลดประมาณการรายได้จาก 4.02 พันล้านบาทสู่ 75 พันล้านบาทหลังรายได้จากการขายเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวใน 4Q62 จากระดับ 550-570 ล้านบาทต่อไตรมาสสู่ 375 ล้านบาทต่อไตรมาส นอกจากนี้เราประเมินว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขาย รายได้จากการบริการ และรายได้จากการก่อสร้างให้ลดลง 25% (สมมติฐานปิดเมือง 3 เดือนตั้งแต่ มี..63-..63) และปรับลดคาดการณ์กำไรจาก 159 ล้านบาทสู่ 98 ล้านบาทลดลง 38%จากประมาณการเดิม และหดตัว 18%YoY อย่างไรก็ตามเราคาดว่าค่าใช้จ่ายทางการเงินจะปรับตัวลงหลังมีการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย  ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 13.3% สู่ 14.4% เนื่องจากธุรกิจไฟฟ้าไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย ยิ่งกว่านั้นโรงไฟฟ้าสระยายโสมและโรงไฟฟ้าขุนพัดเพ็งกำลังการผลิตรวม 5.6 MW ได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วตั้งแต่เดือน ก.. 63 ที่ผ่านมา
  • ปรับลดคาดการณ์รายได้และกำไรปี 64 ลง 17% และ 16% ตามลำดับ : เราคาดว่าหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 กำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจจำหน่าย LPG และธุรกิจบริการของบริษัท นอกจากนี้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการรับรู้รายได้จากโครงการท่อขนส่งน้ำมันให้ล่าช้าออกไปจาก 4Q64 เป็นต้นปี 2565 เราจึงปรับลดคาดการณ์รายได้ปี 64 ลงจาก 9 พันล้านบาทเหลือ 3.2 พันล้านบาทลดลง 17% จากประมาณการเดิมแต่ประมาณการใหม่ยังเติบโต 18%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจาก 13.6% สู่ 14.7% เนื่องจากสัดส่วนรายได้ธุรกิจก่อสร้างซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประมาณการกำไรใหม่ปี 64 ลดลงจาก 166 ล้านบาทสู่ 140 ล้านบาทลดลง 16% จากเดิม แต่เติบโต 42%YoY จากฐานที่ต่ำผิดปกติในปี 2562
  • โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคืบหน้า 21% : โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มดำเนินการปรับพื้นที่เพื่อวางท่อขนส่งน้ำมัน โดยคิดเป็นความคืบหน้า 21% ของโครงการทั้งหมด ซึ่งเราคาดว่าโครงการดังกล่าวจะล่าช้า 3 เดือนเนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 จาก 4Q64 เป็นแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ต้นปี 65 นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันไทยไปยังประเทศลาวร่วมกับ บริษัท ไชน่า ปิโตรเลียม ไปป์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 5 พันล้านบาท และคาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 9% ทั้งนี้เรายังไม่ได้รวมโครงการเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันดังกล่าวในประมาณการ
  • แผนย้ายเข้า SET ภายใน 2Q63 อาจต้องเลื่อนออกไป : PSTC มีแผนย้ายการจดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณามีดังนี้ 1) ทุนจดทะเบียนมากกว่า 300 ล้านบาท 2) ส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่า 300 ล้านบาท 3) มีกำไรสุทธิในระยะเวลา 2 ปีหรือ 3 ปีล่าสุดรวมกันมากกว่า 50 ล้านบาท 4) มีราคาพาร์ไม่ต่ำกว่า 0.50 บาท และ 5) มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 1,000 รายขึ้นไป ซึ่ง PSTC ยังขาดคุณสมบัติข้อ 4) เนื่องจากปัจจุบันพาร์อยู่ที่ 0.1 บาท ซึ่งต้องนำเรื่องรวมพาร์เข้าสู่การพิจารณาของผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย. 63 แต่อาจต้องเลื่อนการประชุมฯ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้แผนการย้ายเข้า SET อาจล่าช้าออกไป
  • มูลค่าพื้นฐานใหม่ลดเหลือ 0.44 บาทต่อหุ้น แต่ยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน จึงคงคำแนะนำ ซื้อ : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Sum of the part ได้ราคาเหมาะสมที่ 44 บาทต่อหุ้นลดลงจาก 0.88 บาทต่อหุ้น เนื่องจากคาดว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จะกระทบต่อธุรกิจยอดขาย LPG ธุรกิจบริการ และธุรกิจก่อสร้าง ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าเราคาดว่าไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตามโครงการท่อขนส่งน้ำมันภาคอีสานเราได้ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันในตลาดโลกจาก 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสู่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลส่งผลให้รายได้ของโครงการดังกล่าวลดลง (ค่าผ่านท่อให้ส่วนลดจากการขนส่งน้ำมันทางรถบรรทุก) และเลื่อนเวลาการรับรู้รายได้จาก 4Q64 เป็นต้นปี 65 จากผลกระทบของ COVID-19 ทั้งนี้มูลค่าพื้นฐานใหม่ภายหลังปรับปรุงยังสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันจึงคงคำแนะนำ ซื้อ

  

 

ปัจจัยเสี่ยง

  1. การก่อสร้างท่อส่งน้ำมันไปภาคอีสานล่าช้า (กำหนดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 4Q64)
  2. ปริมาณการใช้น้ำมันในภาคอีสานชะลอตัว

    3. การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้มีการปิดเมืองนานกว่า 3 เดือน