เคอร์ฟิวสู้วิกฤติโควิด-19 ต้องชนะทั้งโรคร้ายและหุ้น!

เคอร์ฟิวสู้วิกฤติโควิด-19 ต้องชนะทั้งโรคร้ายและหุ้น!

ในวันที่โลกต้องเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า รัฐบาลทั่วโลกพยายามหาทางแก้ไข และวิธีประคองเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดต่ำลงมาถึงจุดต่ำสุดๆ สำหรับนักลงทุน คงต้องมาถามตัวเองว่า จะใช้การวิเคราะห์แบบไหนช่วยในการตัดสินใจ เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย

[บทความนี้ตีพิมพ์ในคอลัมน์คุณฉุยคุยเอง เขียนโดยทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2563 หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ]

1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แจ้งต่อที่การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) วันนี้เรื่องการยกระดับมาตรการในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม โดยกำหนดเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ผู้ใดฝ่าฝืนข้อนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

2.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศผ่อนปรนข้อกำหนดในการสำรองเงินทุนชั่วคราวให้กับธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐ โดยหวังที่จะให้ธนาคารเหล่านี้เพิ่ม การปล่อยกู้ให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกอาจหดตัวลงเกือบ 1% ในปีนี้ เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยพลิกผันอย่างรุนแรงจากที่ UN เคยคาดการณ์ก่อนไวรัสแพร่ระบาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.5% รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกกำลังหาแนวทางแก้ไขปัญหาสาธารณสุข และ ออกมาตรการต่างๆ เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดต่ำลงมามากเกินไป

3.วันที่ 2 เม.ย.63 ค่าเงินบาทปิดที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 33.12 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.92-33.17 บาท/ดอลลาร์ ทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบ 15 เดือนนับตั้งแต่ พ.ย.61 ดัชนีหุ้นไทย (SET) ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,138.27 จุด เพิ่มขึ้น 32.76 จุด +2.96% มูลค่าการซื้อขาย 69,237.21 ล้านบาท สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่มต่างชาติขายสุทธิ 645.61 ล้าน บาท (SET+MAI)

4.ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการประเมินเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ เห็นว่าจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจชุดที่ 3

ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่ม แหล่งเงินที่จะใช้สำหรับดำเนินมาตรการดูแลเศรษฐกิจระยะที่ 3 จะมาจากงบประมาณรายจ่าย ปี 2563 โดยจะมีการออก พ.ร.บ.โยกงบประมาณของทุกกระทรวง ในส่วนที่ไม่จำเป็นมาใช้ดำเนินการ โดยยืนยันว่าการโยกงบดังกล่าวนี้ จะไม่ส่งผลกระทบกับการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้าง ซึ่งขณะนี้สำนักงบประมาณกำลังพิจารณาดำเนินการ จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีจำนวนเงินเท่าใด นอกจากนี้จะมีการออก พ.ร.ก.กู้เงินภายในประเทศเพิ่มเติม

5.SET Daily หลังจากดัชนีหุ้นไทยสร้างจุดต่ำสุด 969.08 จุด (13-03-2563) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการ Short Sell ที่ง่ายเกินไป (ห้ามทุบราคา) ต้องเป็นราคาที่ Offer เท่านั้น, และเปลี่ยนซิลลิ่ง ฟลอร์ จาก +/-30% เหลือ 15%/วัน ทำให้การไล่ทุบราคาหุ้นน้อยลง จะพบว่า รายการ Short Sell ลดน้อยลง ทำให้สภาพตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้ และรับกับสภาพที่มี แต่ข่าวร้ายๆ แต่ราคาหุ้นและดัชนีหุ้นไทย ไม่สร้างจุดต่ำใหม่ ถือว่าเป็นปัจจัยบวกทางสัญญาณกราฟเทคนิค 

6.ตัวนำตลาดตัวใหม่เริ่มกลับมา คือ กลุ่มพลังงาน นำโดยกลุ่ม PTT PTTEP PTTGC TOP และ IVL หลังจากเกิดการถล่มเล่นสงครามราคาน้ำมันกันระหว่าง ซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันดิ่งลงมาระดับต่ำสุด WTI 19.26 ดอลลาร์/ บาร์เรล ทำให้ส่งผลกระทบไปยังบริษัทผลิตน้ำมัน Shale Oil and Gas ของสหรัฐ เริ่มประสบปัญหา เพราะผลิตไม่ได้ ไม่คุ้มค่า การผลิตถึงกับจะล้มละลายกันและแถม ยังมาเจอปัญหา CORONA VIRUS หรือ COVID-19 และหลังจากมีกระแสข่าวจะมีการนำ PTTOR เข้าทำ IPO เพื่อจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยและกระแสข่าวทางการจีน กำลังดำเนินการตามแผนในการซื้อน้ำมันเข้าคลังสำรองฉุกเฉิน และราคาน้ำมัน WTI น่าจะไม่ต่ำไปกว่านี้มากนัก ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นดังกล่าวกลุ่ม PTT PTTEP PTTGC TOP และ IVL

สรุป จากกระแสข่าวรายวัน ที่เราจะมุ่งไปที่ข่าวไวรัส Covid-19 ทั้งไทยและทั่วโลก จะพบว่าหลายๆ ประเทศมีการติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เราตื่นตัวและหวาดกลัวกันไปหมด เมื่อจะมีผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก กำลังเร่งหาวิธีแก้ไข ค่อนข้างจะไปทางเดียวกัน คือ เร่งหา วัคซีนเพื่อมารักษา และจำกัดการเดินทาง เพื่อลดการแพร่กระจาย (Lock Down)

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลทั่วโลกต่างหาวิธีประครองเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินชดเชยที่ไม่ได้ทำงาน การลดอัตราดอกเบี้ย การทำ QE การลดเงิน Reserve ของธนาคารพาณิชย์ไปไว้ที่แบงก์ชาติ หรือธนาคารกลาง เรียกว่า สารพัดวิธี เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการปิดบริษัทร้านค้าทั่วโลก และราคาหุ้น ได้ปรับตัวลดต่ำลงมาถึงจุดต่ำสุดๆ

ตอนนี้เราต้องมาถามตัวเองว่า เราจะใช้การวิเคราะห์แบบไหน ทางด้านพื้นฐาน หรือทางด้านกราฟเทคนิค หรือผสมผสานกัน เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ด้านพื้นฐาน ผลการดำเนินงานส่วนใหญ่ในสภาวะปัจจุบันไม่ดีอยู่แล้ว การประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/63 จะประมาณกลางเดือน พ.ค.63 (45 วันหลังปิดงวด 31 มี.ค.) ดังนั้น ระยะนี้หากมีข่าวรายวัน ก็จะมีแรงกระเพื่อมเป็นระยะๆ แล้วใกล้ๆ ประกาศผลการดำเนินงาน ซึ่งไม่ดีอยู่แล้ว หากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงเกินไป ก็ให้ขายทำกำไรออกมาบ้าง

ส่วน นักลงทุนที่ใช้กราฟเทคนิค นำในการลงทุน เมื่อสัญญาณซื้อเกิดขึ้น ทั้ง Golden Cross, Bullish Convergence/ Divergence ราคาหุ้นไม่มีจุดต่ำสุดใหม่ สร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ มีปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพิ่มขึ้น ก็ซื้อแล้ว รอขาย หากราคาหุ้นหลุด เส้นค่าเฉลี่ย EMA 5 10 วัน หรือเกิด Dead Cross อีกครั้ง (EMA 5 วัน ตัด 10 วันลงมา) คนที่ใช้การวิเคราะห์ผสมผสาน คือ เลือกหุ้น โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และดู Business Models ว่า บริษัทไหนได้เปรียบ เสียเปรียบในภาวะปัจจุบัน ไม่โดน Technology Disruption แล้วเอาปัจจัยเทคนิคมาหาจังหวะเข้าซื้อขาย น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด