3 เดือน ผู้ติดโควิดในบ้านเพิ่มมากทั้งกทม. - ต่างจังหวัด

3 เดือน ผู้ติดโควิดในบ้านเพิ่มมากทั้งกทม. - ต่างจังหวัด

สธ.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 51 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย เป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 60 ปี ผู้ป่วยติดเชื้อยืนยัน 2,220 ราย ใน 66 จังหวัด เผย 3 เดือนผู้ติดเชื้อในบ้านสัดส่วนมากที่สุดทั้ง กทม. และ ต่างจังหวัด ขณะที่หลังประกาศเคอร์ฟิวยังพบผู้ฝ่าฝืน

วันนี้ (ุ6 เมษายน 2563) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงข่าว สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจำวันนี้ ว่า ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 51 ราย รวมยอดสะสม 2,220 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย รวม 26 ราย รักษาหายกลับบ้าน 793 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดมีสัญชาติไทย 1,907 ราย สัญชาติอื่น ๆ 312 ราย ผู้ป่วยชาย 55.5% ผู้ป่วยหญิง 44.5% จำนวนผู้ป่วยจำแนกตามพื้นที แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-นนทบุรี 1,162 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 100 ราย ภาคเหนือ 85 ราย ภาคกลาง 340 ราย ภาคใต้ 334 ราย อายุเฉลี่ย 39 ปี อายุสูงสุด 86 ปี อายุน้อยสุด 1 เดือน อายุสุงสุดในกลุ่ม 20-29 ปี จำนวน 539 ราย

158615608283

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 28 ปี อาชีพพนักงานบริษัทใน กทม. เพื่อนร่วมงานของภรรยาติดโควิด-19 เริ่มป่วย 27 มีนาคม ด้วยอาการไข้ ไอเจ็บคอ รักษาที่ รพ.เอกชน และย้ายไปรักษาต่อที่ รพ.ในจังหวัดสมุทรปราการในวันที่ 4 เมษายน ด้วยอาการมีไข้สูง ออกซิเจนในเลือดลดลงมาก หลังจากนั้น ถูกส่งตัวไปที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในกทม. และเก็บตัวอย่างตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 และเสียชีวิตในวันเดียวกัน

รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 51 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว มีโรคประจำตัว เบาหวาน ภาวะอ้วน เริ่มป่ววันที่ 28 มีนาคม รักษาใน รพ.เอกชนแห่งหนึ่งในกทม. ด้วยอาการ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น หลังจากนั้น 1 เมษายน เข้ารับการรักษา และแอดมิทอีกครั้ง ด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อหายใจลำบาก พบว่าออกซิเจนในเลือดลดลง ปอดอักเสบรุนแรง และผลออกว่าเป็นบวกวันที่ 2 เมษายน และเสียชีวิตวันที่ 4 เมษายน

รายที่ 3 เป็นหญิงไทย อายุ 59 ปี อาชีพค้าขาย มีโรคประจำตัว คือ โรคเบาหวาน ก่อนหน้านี้ไปเล่นการพนัน ในหลายแห่งในกทม. เจอผู้คนจำนวนมกา เริ่มป่วย 29 มีนาคม เข้ารักษาใน รพ.เอกชน กทม. เมื่อวันที่ 1 เมษายน ไม่มีไข้ แต่หายใจหอบเหนื่อย ออกซิเจนในเลือดลด ตรวจพบปอดอักเสบรุนแรง แพทย์จึงส่งตรวจตัวอย่างพบว่าผลออกมาเป็นบวก

“จะเห็นว่า ผู้เสียชีวิต 3 ราย อายุต่ำกว่า 60 ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างคือความเมสี่ยง แต่ที่สำคัญอีกอย่างคือ ทั้งหมด มีประวัติโรคประจำตัว ซึ่งคือความเสี่ยง ขณะเดียวกัน กลุ่มที่อายุระหว่าง 20-29 ปี เป็นกลุ่มคนที่ต้องเฝ้าระวังที่สุด เพราะท่านสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้”

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ วันที่ 6 เมษายน จำนวน 51 ราย แบ่งเป็น กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 25 ราย ได้แก่ พิธีกรรมทางศาสนา 3 ราย กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานก่อนหน้านี้ กระจายหลายจังหวัด 22 ราย

กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 19 ราย แบ่งเป็น คนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 1 ราย คนต่างชาติเดินทางมาจากต่างประเทศ 1 ราย สัมผัสผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 1 ราย กลุ่มอาชีพเสี่ยง เช่น ทำงานในสถานที่แออัด หรือทำงานใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ 3 ราย บุคลากรทางสาธารณสุข 13 ราย โดยพบเป็นกลุ่มบุคลากรในโรงพยาบาลเอกชน 11 ราย มีทั้งจากดูแลผู้ป่วย และมีกิจกรรมร่วมกันเช่น รับประทานอาหาร กลุ่มที่ 3 อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 7 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 51 ราย อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 27 ราย นนทบุรี,ภูเก็ต 4 ราย ชลบุรี 3 ราย สมุทรปราการ, ยะลา , สุราษฎ์ธานี , พัทลุง 2 ราย และ ปัตตานี , ปทุมธานี , อุบลราชธานี , นราธิวาส, สระแก้ว 1 ราย โดยแนวโน้ม เปรียบเทียบพื้นที่ กทม. นนทบุรี และต่างจังหวัด พบว่า กทม. แนวโน้มลดลง แต่ต่างจังหวัด ไว้วางใจไม่ได้ ยังขึ้นๆ ลงๆ ดังนั้น พี่น้องต่างจังหวัดต้องช่วยกัน หลังจากประกาศเคอร์ฟิววันที่ 3 เมษายน จะต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขยังบอกทิศทางไม่ได้ จึงต้องมีการทำตามมาตรการอย่างเข้มข้นอยู่

  • ผู้ติดเชื้อทั่วโลก 1.27 ล้านคน

โฆษก ศบค. กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ทั่วโลก ใน 205 ประเทศ 2 เขต บริหารพิเศษ 2 เรือสำราญ พบว่า มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 1,271,999 ราย ผู้ป่วยหนัก 45,614 ราย รักษาหาย 261,424 ราย เสียชีวิต 69,405 ราย โดย สหรัฐอเมริกา ทิศทางยังทะยานขึ้นเป็นอันดับ 1 มีผู้ติดเชื้อ ขณะที่ สเปน เยอรมัน ยังคงทรงๆ ประเทศอินเดีย ยังคงน่ากังวลใจ เพราะประชากร 1.3 พันล้านคน ตัวเลขพุ่งขึ้นสูง ขณะที่ไทยเราอยู่ในระดับกลาง ทิศทางต้องพยายามให้ลงมาให้ได้

158615608379

  • ผู้ป่วยติดเชื้อในบ้านมากที่สุด

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ผู้ป่วยที่ติดเชื้อระหว่างเดือนมกราคม – 4 เมษายน 2563 พบว่า ในเขตกทม. ซึ่งมีผู้ป่วย 772 ราย ติดเชื้อจากการการอยู่ร่วมบ้านกันกว่า 102 ราย หรือ 35% ถือเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุด ถัดมา คือ จากเพื่อนและการเข้าสังคม 61 ราย คิดเป็น 21% อยู่ในสถานที่เดียวกัน 47 ราย คิดเป็น 16% จากการร่วมงาน 63 ราย คิดเป็น 22% และ ไม่ระบุ 15 ราย คิดเป็น 5%

158615608017

ขณะที่ในต่างจังหวัด จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 817 ราย จำแนกกลุ่มผู้ติดเชื้อจากการอยู่ร่วมบ้าน 157 ราย หรือ 49% จากเพื่อนและการเข้าสังคม 43 ราย คิดเป็น 13% จากการอยู่ในสถานที่เดียวกัน 46 ราย คิดเป็น 14% จากการร่วมงาน 49 ราย คิดเป็น 15% และ ไม่ระบุ 27 ราย คิดเป็น 8%

158615608012

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อไปว่า การติดเชื้อจากคนในบ้านเกิดจากการแสดงความรักในบ้าน กอด หอม ใกล้ชิด ดังนั้น ต้องเว้นระยะห่าง แสดงความรักอย่างอื่นได้ ส่งผ่านไลน์แทน กลับถึงบ้านควรทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ สระผม ป้องกันการติดเชื้อ

“ขณะเดียวกัน แนวโน้มตั้งแต่ต้นปี ตัวเลขของกลุ่มผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้น ยังจำเป็นต้องดูแล สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ กลุ่มคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ต้องช่วยกันทำตามมาตรการ ป้องกันคนอื่นๆ ในประเทศติดเชื้อ ในส่วนของจำนวนผู้ป่วยรายวัน แม้คนต่างจังหวัดจะเพิ่มขึ้น และของ กทม. มีแนวโน้มลดลง แต่ กทม. ก็ยังสูงสุดของประเทศ จึงต้องมีมาตรการต่างๆ ออกมา ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่า คนที่อ่อนแอมากที่สุดในบ้าน คือ เด็ก และผู้สูงอายุ ควรห่างท่านห้ามใกล้ชิดเด็ดขาด เพราะเป็นกลุ่มที่จะมีการเสียชีวิตมากที่สุด” นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าว

  • พบยังมีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว

นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรการเคอร์ฟิว ซึ่งทางศูนย์ ได้สั่งการไปห้ามออกจากเคหะสถานเวลา 22.00 – 04.00 น. เริ่มในวันที่ 3 เมษายน 2563 ผลการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รายงานเข้ามาพบ ผู้ฝ่าฝืนออกนอกเคหะสถาน 5 – 6 เมษายน ทั้งประเทศ 919 ราย และมีการรวมกลุ่มชุมชน มั่วสุม เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคในเคหะสถาน 79 ราย ถึงแม้จะเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินพบว่าบางคนยังไม่ร่วมมือ

“มาตรการที่ต้องเพิ่มเติมต่อไป คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มจำนวนจุดการตรวจจาก 836 จุดเป็น 923 จุด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องทำงานหนักเพื่อดูแลพี่น้องประชชาน ดังนั้น ขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่บ้าน”

สำหรับ มาตรการถัดไป ในส่วนของผู้โดยสารที่ติดค้างต่างประเทศ ปัจจุบันตัวเลขของผู้ที่ต้องการต่อเครื่องมาที่ไทย รอที่สนามบินในประเทศญี่ปุ่น 12 คน กรุงโซล เกาหลีใต้ 35 คน เนเธอร์แลนด์ 1 คน รวมเป็น 48 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการดูแลจากสนามบินต่างๆ และจากตัวแทนของสนามทูต