มุมไบ...มุมหนึ่งในดวงใจ
ฝุ่น ฝน ร้อน ไม่มีหนาว อาหารก็ไม่ถูกปาก หากจะชวนไปมุมไบอีกครั้ง ยืนยันได้เลยว่าไม่ปฏิเสธ หรือว่าเราหลงเสน่ห์อินเดียเข้าให้แล้ว
แม้ว่าสถานการณ์โลกของเราวันนี้จะยังไปไหนไม่ได้และยังไม่รู้ว่าจะได้ไปเมื่อไหร่ แต่ “มุมไบ”ยังอยู่ในใจเสมอ วันนี้มีเรื่องน่า
พรเพียงข้อเดียว
“หากขอพรแล้วเป็นจริงได้ 1 ข้อ คุณจะขออะไร?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นเรื่องทำใจลำบาก เพราะความอยากของเรานั้นมีมากหลาย หากในวันนี้ถ้าขอพรแล้วเป็นจริงได้เราไม่ลังเลเลยที่จะขอให้ ไวรัสโควิด-19 จงหมดฤทธิ์ลงในบัดเดี๋ยวนี้
ก่อนเข้าวัดสิทธิวินายัก (Siddhivinayak) ครูอุมามัคคุเทศก์ชาวอินเดียวัยแปดสิบ กำชับหนักหนาว่าถ้าอยากให้ความปรารถนาสัมฤทธิ์ผลต้องขอพรเพียงข้อเดียวเท่านั้น นี่คือกติกา
วัดสิทธิวินายักเป็นวัดฮินดูที่มีชื่อเสียงที่สุดในมุมไบ เพราะคนอินเดียที่นับถือ ศรัทธาในองค์พระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งอุปสรรค และศิลปวิทยาการ นิยมมาขอพรกันที่นี่ ..ไม่ว่าจะเป็นดาราบอลลีวู้ด นักการเมือง นักธุรกิจ คนมีเงินมาก คนมีเงินน้อย เรียกว่าไม่ว่าใครก็มาได้ มีข้อแม้อย่างเดียวคือ ขอพรได้เพียงคนละ 1 ข้อ เท่านั้น
ในวัดห้ามถ่ายภาพเราจึงนำภาพพระพิฆเนศถ่ายจากองค์ขนาดเล็กที่ได้รับมาจากอินเดียแทน ความพิเศษของประติมากรรมรูปพระพิฆเนศที่วัดนี้แตกต่างจากที่อื่นคือมีงวงหันไปทางขวา
มาถึงวัดก็ค่ำแล้ว แต่ผู้คนเนืองแน่นมาก ก่อนเข้าวัดต้องถอดรองเท้า ส่วนตัวเราและกระเป๋าก็ต้องผ่านการสแกนด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ (เหมือนทุกๆที่ เช่น สนามบิน โรงแรมฯ) จากนั้นก็ต้องไปเข้าแถวที่จะค่อยๆไหลตามกันไปเพื่อนำเครื่องบูชาอันได้แก่พวงมาลัย ผ้าแดง และขนมไปถวายพระพิฆเนศ
ระหว่างนี้แหละเป็นช่วงเวลาที่แต่ละคนจะต้องคัดกรองพรทั้งหลายให้เหลือเพียง 1 ประการ..
พรที่ปรารถนาของคุณ คืออะไร ? ไม่ต้องบอกเรา แต่ให้ไปกระซิบบอกที่หูรูปปั้นหนู หลังจากกราบพระพิฆเนศแล้วรับเครื่องบูชาจากพราหมณ์กลับมา มาหารูปปั้นหนูตัวแทนพาหนะของพระพิฆเนศ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
นำพวงมาลัย ผ้าแดง ขนมมาถวายหนู (เหลือขนมไว้กินเองด้วยหนึ่งชิ้นนะ) จากนั้นเอามือข้างหนึ่งอุดหูหนูไว้ แล้วกระซิบที่หูของรูปปั้นหนูอีกข้าง บอกถึงพรที่อยากได้
ถ้าขอพรได้ข้อเดียว เราจะขอให้วิกฤติโควิด 19 จบลงด้วยดีในวินาทีนี้ สาธุ
เอเลฟันตา ในที่สุดฉันก็มาถึง
หลังจากบูชาพระพิฆเนศเป็นลำดับแรกตามธรรมเนียมฮินดูแล้ว เราเดินทางต่อไปสักการะพระศิวะมหาเทพกันต่อที่ถ้ำเอเลฟันตา
ถ้ำเอเลฟันตา หรือ ถ้ำช้าง อยู่ห่างจากมุมไบราว 10 กิโลเมตร โดยมีเรือโดยสารจาก Gateway of India ให้บริการทุกครึ่งชั่วโมง นั่งเรือประมาณ 45 นาที ถ้าจะให้ดีควรมาถึงถ้ำในช่วงเช้าอากาศนอกจากอากาศไม่ร้อนจัดจนเกินไปแล้วนักท่องเที่ยวก็ยังมาไม่มากนัก
ชื่อถ้ำเอเลฟันตา (Elephanta) มาจาก เอเลเฟนเต้ (Elefante) ในภาษาโปรตุเกส กล่าวกันว่าเมื่อ 500 ปีก่อนทหารโปรตุเกสมาตั้งฐานทัพบนเกาะแห่งนี้ พอได้พบกับรูปแกะสลักช้างอยู่หน้าถ้ำเลยตั้งชื่อว่า เอเลเฟนเต้ หรือ เกาะช้าง
นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นผู้คนพบเกาะแห่งนี้แล้วทหารโปรตุเกสยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายควบคู่ไปด้วย เพราะว่าใช้ถ้ำเป็นสถานที่ฝึกอาวุธทำให้ประติมากรรมหินแกะสลักในถ้ำเสียหายไปจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ดีถ้ำเอเลฟันตาได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2530
ศิลปะชิ้นเอกอันทรงพลัง
เอเลฟันตาเป็นถ้ำที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวะนิกาย นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ ชาวอินเดียเมื่อพันกว่าปีก่อนสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เราพิศวงด้วยการขุดเจาะถ้ำหินให้กลายเป็นเทวสถาน ประกอบไปด้วยห้องโถงสำหรับผู้คนทั่วไปนำเครื่องบูชามากราบไหว้ และห้องประดิษฐานศิวลึงค์ที่พราหมณ์เท่านั้นที่สามารถเข้าไปประกอบพิธีได้
ความใหญ่โตของประติมากรรมซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าคนเราถึงหนึ่งเท่าครึ่งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ที่ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ พลังอำนาจที่ทำให้มนุษย์ตัวเล็กๆสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของพระศิวะมหาเทพ
ประติมากรรมทุกชิ้น ถือได้ว่าเป็นผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซในยุคหลังคุปตะ (ราวพุทธศตวรรษที่ 11-13) ประติมากรรมชิ้นสำคัญได้แก่ พระมเหศมูรติ ประดิษฐานอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ รศ.ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี อธิบายไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียและเอเชียใต้ ถึงพระมเหศมูรติว่า ปกติแล้วจะมี 5 พักตร์ หากที่เอเลฟันตานี้ปรากฏเพียง 3 พักตร์ ไม่แสดงด้านหลังและด้านบน มีแต่พระพักตร์ภาคสงบ(กลาง) พระพักตร์ภาคสตรีหมายถึงนางปารวตี (ซ้าย) และพระพักตร์ดุร้ายไภรวะ (ขวา)
การมี 3 พักตร์สื่อถึงหน้าที่ 3 ประการของพระเป็นเจ้า นั่นก็คือ พระพักตร์สตรีสื่อถึงผู้สร้าง พระพักตร์สงบสื่อถึงการรักษา และพระพักตร์ดุร้ายสื่อถึงการทำลาย อันเป็นการรวมหน้าที่ตรีมูรติทั้งหมดไว้กับพระศิวะเพียงองค์เดียว
เบื้องขวาของพระมเหศมูรติ เป็นประติมากรรมรูปพระอรรธนารีศวร การผสมผสานระหว่างพระศิวะกับพระอุมาตามความเชื่อว่าเทพสตรีจะส่งเสริมพลังให้เทพเจ้า ในงานศิลปกรรมจะเห็นว่าพระศิวะจะอยู่ซีกขวาพระอุมาอยู่ซีกซ้าย ตามคติอินเดียที่ถือว่าด้านขวามีความสำคัญกว่า
ส่วนประติมากรรมเบื้องซ้ายของรูปพระมเหศมูรติ เป็นประติมากรรมเล่าเรื่องกำเนิดแม่น้ำสำคัญ 3 สายได้แก่ คงคา ยมุนา และ สวัสวตี โดยแกะสลักเป็นรูปสตรี 3 คนแทนแม่น้ำแต่ละสายลอยมาอยู่ด้านบนของรูปสลักพระศิวะขนาดใหญ่ ในภาพเหตุการณ์นี้มีพระอุมา พระพรหมทรงหงส์ และพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณมาร่วมด้วย
และที่ไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง คือ ประติมากรรมรูปศิวะนาฏราชอันสวยงามเหลือเกิน ชาวฮินดูเชื่อกันว่าการเต้นรำของพระศิวะทำให้โลกหมุนได้ ในภาพนี้ยังประกอบไปด้วยพระขันทกุมาร พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุที่มาร่วมในพิธีกรรมสำคัญนี้ด้วย
กัณเหรี ภูเขานี้สีดำ
จากถ้ำในศาสนาฮินดูแล้ว มุมไบยังมีถ้ำในพุทธศาสนาตั้งอยู่ในวนอุทยานแห่งชาติสันเจ คานธี อันถือได้ว่าเป็นปอดของมุมไบ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 30 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยสภาพจราจรที่แน่นขนัดไปเกือบตลอดทาง
จากจุดจอดรถเดินทางไปถึงหน้าถ้ำไม่ไกล เส้นทางก็ไม่ชัน หากเราก็ต้องเร่งหน่อยเพราะเป็นช่วงแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์แล้วจึงมีเวลาไม่มาก แถมฟ้ายังร้องครืนๆเหมือนเตือนว่าอีกไม่นานฝนจะตกแล้วนะอย่าโอ้เอ้
ถ้ำกัณเหรี มีความหมายว่าภูเขาสีดำ ซึ่งก็สมชื่อจริงๆ ภูเขาที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรนี้เหมาะแก่การมาปลีกวิเวกเป็นอย่างยิ่ง ช่างอินเดียโบราณทำให้เราทึ่งด้วยฝีมือการขุดเจาะภูเขาให้กลายเป็นถ้ำขนาดเล็กใหญ่ตามประโยชน์ใช้สอยเป็นจำนวนมากถึง 109 ถ้ำ เริ่มมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5 จนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 14
ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือ ภายในถ้ำยังแกะสลักเลียนแบบเครื่องไม้ มีทั้งเสาและคาน แม้ว่าฝีมือการแกะสลักภายในถ้ำเจติยสถาน (สถานที่สำหรับพระสงฆ์ทำพิธีกรรมคล้ายโบสถ์ วิหาร)จะมีความวิจิตรพิสดารเทียบไม่ได้กับถ้ำอชันตา หากบรรยากาศภายในที่มีเสาเรียงรายสองด้านนำสายตาไปสู่สถูปทรงกลมด้านในสุดนั้น สะกดความรู้สึกจากความตื่นเต้นที่ได้มาแปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่งโดยไม่รู้ตัว
เราอยู่ชมความงามภายในถ้ำจนแสงสุดท้าย ขณะเดินไต่ไหล่เขาลงมาตามเพิงผาที่มีการเจาะเป็นถ้ำขนาดย่อม ลักษณะคล้ายกุฏิ ฝนก็เทลงมาพอดี แอบดีใจที่ได้อยู่ชมบรรยากาศตอนฝนตก
จนกว่าจะพบกันใหม่
บันทึกท้ายเรื่องไว้ว่า เดินทางมามุมไบครั้งนี้ด้วยสายการบินไทยสมายล์ หากโลกกลับมาสู่ภาวะปกติเมื่อไหร่ เราคงได้พบกันอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับ “รอยยิ้มคู่ฟ้า” แล้วพบกันค่ะ