ฟิทช์ ปรับลดเครดิตแบงก์กสิกรไทยเป็น ‘BBB’ จากผลกระทบโควิด-19

ฟิทช์ ปรับลดเครดิตแบงก์กสิกรไทยเป็น ‘BBB’ จากผลกระทบโควิด-19

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับเครดิตสากลของธนาคารกสิกรไทยเป็น ‘BBB’ จากเดิม ‘BBB+’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นเป็น ‘F3’ จาก ‘F2’ เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency IDR) ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank เป็น ‘BBB’ จาก ‘BBB+’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น (Short-Term Foreign-Currency IDR) เป็น ‘F3’ จาก ‘F2’ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) เป็น ‘bbb’ จาก ‘bbb+’ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์ ไม่มีหลักประกัน เป็น ‘BBB’ จาก ‘BBB+’ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินต่างประเทศที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซิล 3 เป็น ‘BB+’ จาก ‘BBB’ และยกเลิกสถานะอันดับเครดิตที่เป็นอันดับเครดิตที่อยู่ระหว่างการทบทวนที่เกิดจากการประกาศใช้หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตฉบับใหม่ (Under Criteria Observation) ในขณะเดียวกันฟิทช์คงอันดับเครดิตในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของ KBank ที่ ‘AA+(tha)’ และอันดับเครดิตในประเทศระยะยาวของบริษัทย่อยซึ่งคือ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KS) ที่ ‘AA(tha)’

ทั้งนี้การปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าว สะท้อนถึงความท้าทายของสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ KBank กำลังเผชิญและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสที่กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้เพิ่มแรงกดดันต่อสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานของธนาคารที่อ่อนแอมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและทั่วโลกที่ซบเซา แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่น่าจะหักล้างความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อลูกหนี้ที่มีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ KBank มีฐานลูกค้าค่อนข้างมาก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานของธนาคารไทยสามารถดูได้จาก “Coronavirus Outbreak Increases Challenges for Thai Banks’ Operating Environment” ลงวันที่ 2 เมษายน 2563

ขณะที่ระยะเวลาและแนวโน้มความรุนแรงของสถานการณ์การระบาดของโคโรน่าไวรัสที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งตามสมมติฐานกรณีฐานของฟิทช์นั้นคุณภาพของสินทรัพย์รวมถึงผลการดำเนินงานของ KBank อาจได้รับผลกระทบมากในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานในปี 2562 โดยนอกจากระดับค่าใช้จ่ายการสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่อาจเพิ่มขึ้นแล้ว รายได้ของธนาคารก็อาจจะปรับตัวลดลงจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ชะลอตัว

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ KBank พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร (Viability Rating  หรือ VR) ซึ่งประเมินจากความแข็งแกร่งทางธุรกิจของธนาคาร (Standalone Profile) นอกจากนี้การพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างโครงสร้างเครดิตของธนาคารและธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยรายอื่นยังเป็นปัจจัยในการพิจารณาอันดับเครดิตภายในประเทศของ KBank ด้วยเช่นกัน อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นสะท้อนถึงหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตและฟิทช์พิจารณาประกอบกับโครงสร้างการระดมทุนและสภาพคล่องของธนาคารที่ระดับ ‘bbb’ โดยการคงอันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคารสะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ต่อโครงสร้างเครดิตของ KBank ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศแม้ว่าอันดับเครดิตสากลของธนาคารจะถูกปรับลดอันดับลง

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KBank พิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในฐานะหนึ่งในธนาคารชั้นนำของอุตสาหกรรมธนาคารไทยโดยธนาคารมีเครือข่ายธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากฐานธุรกิจที่มีเสถียรภาพและมีขนาดใหญ่โดยมีจุดแข็งในด้านบริการธนาคารดิจิทัลและการให้บริการด้านธุรกรรมธนาคาร (Transactional banking) อีกทั้งธนาคารมีบริการด้านการธนาคารที่ครบวงจรรวมถึงมีการให้บริการลูกค้าในหลากหลายกลุ่มลูกค้า อย่างไรก็ตาม KBank ยังมีฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่รายอี่นซึ่งจะทำให้มีแรงกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารในช่วงเวลาปัจจุบันของวัฏจักรธุรกิจและจะทำให้มีแรงกดดันเพิ่มเติมต่อผลกำไรจากการดำเนินงานของธนาคารซึ่งในปัจจุบันระดับผลกำไรดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) ของการดำเนินธุรกิจของธนาคารซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับกับธนาคารอื่น

ทั้งนี้ธนาคารยังคงมีโครงสร้างเครดิตที่ดีกว่าและมีความสามารถในการรองรับผลกระทบเชิงลบที่มากกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นที่มีอันดับเครดิตที่ต่ำกว่า ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันเชิงลบต่ออันดับเครดิตของธนาคารในช่วงระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า ระดับเงินกองทุนของ KBank ที่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งพิจารณาจากระดับของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (common-equity Tier-1) ของธนาคารที่ 16.2% ในปี 2562 น่าจะช่วยสนับสนุนโครงสร้างเครดิตของธนาคารที่ระดับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ ฟิทช์ยังคาดว่าระดับของสำรองหนี้สูญ (loan loss reserve) ต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ 149% และระดับของหลักประกันของเงินกู้ที่เพียงพอโดยเฉพาะของสินเชื่อ SME จะช่วยรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดจากคุณภาพของสินเชื่อที่อาจปรับตัวอ่อนลงได้บางส่วน อีกทั้งสภาพคล่องและการระดมทุนในประเทศของ KBank ได้รับแรงสนับสนุนจากการที่ธนาคารมีฐานเงินฝากบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ (CASA) ในสัดส่วนสูงที่ 77% ของฐานเงินฝาก ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งสนับสนุนให้ธนาคารมีต้นทุนการระดมเงินทุนที่ต่ำจากแหล่งระดมทุนที่มีเสถียรภาพ

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ 

อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของ KBank สะท้อนถึงการที่ธนาคารมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทย โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของ KBank ในด้านเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 15% ของระบบธนาคารพาณิชย์ โดย KBank เป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยและฟิทช์เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ (extraordinary support) แก่ธนาคารในกรณีที่จำเป็น 

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิ

อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซล 3 ของ KBank ซึ่งปัจจุบันธนาคารได้เสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลและอันดับเครดิตภายในประเทศอยู่ 2 อันดับ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตในกรณีฐาน (baseline) ของอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของธนาคารฉบับใหม่ เพื่อสะท้อนมุมมองของฟิทช์ที่ตราสารประเภทดังกล่าวมีโอกาสที่จะได้รับชำระหนี้คืน (recovery rate) ในอัตราที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับตราสารที่ไม่ด้อยสิทธิ ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวไม่ได้ถูกปรับลดอันดับเพิ่มเติมเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นกู้จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ (non-performance risk) เนื่องจากหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติรองรับผลขาดทุนระหว่างการดำเนินกิจการ (going-concern loss absorption)

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – บริษัทร่วมและบริษัทย่อย

การประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศของ KS สะท้อนถึงมุมองของฟิทช์ว่าโอกาสในการให้การสนับสนุนจากธนาคารแม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป  โดย KS ยังคงเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อ KBank เนื่องจากการถือหุ้นเกือบทั้งหมดโดยบริษัทแม่ อีกทั้งยังใช้ชื่อที่ใกล้เคียง มีการควบคุมจากธนาคารแม่และยังมีบทบาทที่สำคัญในกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจรูปแบบธนาคารครบวงจร (universal banking strategy) ของธนาคารแม่ การที่อันดับเครดิตอยู่ต่ำกว่า KBank อยู่ 1 อันดับเนื่องจากบริษัทลูกมีขนาดเล็กและมีผลกำไรที่คิดเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับผลกำไรของกลุ่ม

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้กิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้น อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KBank อาจได้รับการปรับอันดับกลับไปที่ ‘bbb+’ หากอัตราส่วนแสดงฐานะทางการเงินที่สำคัญอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับธนาคารอื่นที่ได้รับการจัดอันดับที่สูงกว่าซึ่งดำเนินธุรกิจในสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในระดับเดียวกัน (ซึ่งคือในระดับ ‘bbb’) ซึ่งรวมถึงการคงอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ต่ำกว่า 3% ในขณะที่มีระดับสำรองหนี้สูญและระดับของเงินกองทุนที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เช่น ระดับของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (common-equity Tier-1) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 16% อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ในระดับที่ดียิ่งขึ้นนั้นจะช่วยสนับสนุนอัตรากำไรและส่งผลให้การสะสมทุนดีขึ้นและมีระดับเงินกองทุนที่สูงขึ้น ฟิทช์มองว่าระดับผลกำไรของธนาคารอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับอันดับเครดิตและระดับความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจที่ยอมรับได้ของธนาคารในปัจจุบัน

ขณะที่ราคาหุ้น KBANK ปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 86.50 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ 3.35% มูลค่าการซื้อขายรวม 656 ล้านบาท