'แบงก์ชาติ' เตรียมออก 'ซอฟท์โลน' อุ้มภาคธุรกิจสู้โควิด

'แบงก์ชาติ' เตรียมออก 'ซอฟท์โลน' อุ้มภาคธุรกิจสู้โควิด

แบงก์ชาติเผยครม. ไฟเขียวออก พ.ร.ก.ซอฟท์โลน อุ้มเอสเอ็มอีสู้วิกฤติโควิด พร้อมดันพ.ร.ก.ซื้อตราสารหนี้เอกชน สร้างความมั่นใจในตลาดเงิน รวมทั้งมีมติขยายเวลาคุ้มครองเงินฝาก 5 ล้านบาทไปอีก 1 ปี และมีมติให้แบงก์พาณิชย์ลดเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% เป็นเวลา2ปี

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า. คณะรัฐมนตรีนัดพิเศษวันนี้(3เม.ย.)เห็นชอบหลักการมาตรการช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นผ่านการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย และสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง โดยธปท.ขอออกพระรากำหนดเพื่อให้ธปท.จัดทำซอฟท์โลนโดยตรงได้ด้วยเงินของธปท.คล้ายๆกับที่เราเคยออกมาแล้วในช่วงปี 2555ตอนนั้นมีวิกฤตการณ์น้ำท่วมใหญ่ ซึ่งครั้งนี้จะเป็นโครงการที่ใหญ่กว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินธนาคารออมสินทำซอฟท์โลนในรอบที่ผ่านมา ซึ่งรายละเอียดจะเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบอังคารหน้า

ขณะเดียวกัน. ทางธปท.เสนอขอหลักการที่จะสร้างหลังพิงให้กับตลาดตราสารหนี้เอกชนเพื่อให้เดินต่อไปได้ โดยขอออกพ.ร.ก.ให้ธปท.สามารถเข้าไปซื้อตราสารที่จะครบกำหนดที่จะโรลโอเวอร์ แต่ต้องเป็นตราสารที่ผู้ออกมีคุณภาพดีและเขาต้องระดมทุนจากตลาดเอกชนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เราจะเข้าไปเป็นส่วนเติมเต็มให้ตลาดทำหน้าที่ได้ตามปกติและจะมีเงื่อนไขในการคัดกรองให้แน่ใจว่าเป็นบริษัทที่ดี

“ วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ระบบการเงินมีความเข้มแข็งสามารถเป็นเสาหลักสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจได้. ขณะเดียวกัน. ต้องให้แน่ใจว่า ตลาดการเงินยังทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ. ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต.และธปท.ร่วมพิจารณากลไกที่สำคัญ ที่จะช่วยดูแลตลาดตราสารหนี้ของภาคเอกชนที่วันนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก โดยมีขนาดถึง 3.5 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยในระบบ 14 ล้านล้านบาท และผู้ถือตราสารหนี้ภาคเอกชนนี้จะครอบคลุมประชาชนหลากหลายประเภท และองค์กรหลายประเภท เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนรวมตราสารหนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ มีธุรกิจจำนวนมากที่อาศัยการกู้ยืมเงินตราสารหนี้เอกชน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ลามมาตราสารหนี้ในโลกและลามมาตราสารหนี้ในไทย รวมทั้ง. มีความไม่แน่นอนในสถานการณ์เศรษฐกิจข้างหน้า ทำให้ตราสารหนี้เอกชนทำหน้าที่ไม่ปกติ”

นอกจากนี้. ยังขอเห็นชอบหลักการการขยายระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไป ซึ่งเรื่องนี้ต้องเรียนยืนยันว่า สถาบันการเงินวนประเทศไทยมีความมั่นคงมาก แต่ขณะนี้มีประชาชนที่กังวลเพราะการคุ้มครองเงินฝากจะลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ในเดือนส.ค.นี้ โดยคณะกรรมการสำนักงานคุ้มครองเงินฝากมีความเห็นว่า. ถ้าเราขยายออกไปก่อนอีก 1 ปึ คือ ส.ค.ปีหน้า จะช่วยลดความกังวลของประชาชนได้

อีกเรื่อง คือ การเลื่อนการนำส่งเงินสมทบของธนาคารพาณิชย์ที่จะไปใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน( FIDF4) โดยจะลดเหลือ 0.23%จาก 0.46% ของเงินฝากเป็นระยะเวลา 2 ปี ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างมากจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงมา 2 ครั้งในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา ถ้าจะทำให้การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ภาคธุรกิจและประชาชนได้ตรงนี้อาจเป็นต้นทุนทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยให้ประชาชนได้ จึงเสนอให้ลดเงินนำส่งดังกล่าว