ระยะสั้นยังมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังคงมุมมองหาจังหวะล็อคกำไรก่อนประกาศงบ

ระยะสั้นยังมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ยังคงมุมมองหาจังหวะล็อคกำไรก่อนประกาศงบ

ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง

หลังมีกระแสข่าวบวกเข้ามาในตลาดตในช่วงวันที่ผ่านมา ได้แก่ 1) การที่จีนประกาศจะซื้อน้ำมันเข้าคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ 2) ข่าวการหารือแนวทางช่วยเหลือบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ 3) ประธานาธิปดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ทาง CNBC และทวีตในเวลาต่อมา ถึงการหารือกับทางซาอุดิอาระเบีย และคาดว่าจะเห็นการปรับลดกำลังการผลิตลง 10-15 ล้านบาร์เรล

กระบวนการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนเริ่มต้น แต่คาดขาย IPO เกิดช่วงปลายปี ราคาหุ้นในกลุ่มปตท.ปรับขึ้นอย่างร้อนแรงตามราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้น รวมถึงการแจ้งข่าวต่อตลท.ของ PTT ถึงการยื่นไฟลิ่ง PTTOR ทั้งนี้นักลงทุนควรอิงการเพิ่มขึ้นขอราคาน้ำมันมากกว่าเพียงเรื่อง PTTOR เนื่องจาก 1) สัดส่วนหุ้นที่กันให้กับทางผู้ถือหุ้น PTT เดิม (Preemptive right) อยู่ที่ราว 95:1 ซึ่งไม่มีนัยสำคัญในการเก็งกำไรมากนัก 2) การเข้าซื้อขายใช้เวลาอีกนาน ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวกลต.จะใช้เวลาประมาณ 120-165 วันในการพิจารณา (ส.ค.-ก.ย.) จากนั้นจะเริ่มกระบวนการทางการตลาดที่ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ดังนั้นคาดการเสนอขายหุ้น (IPO) จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564

ผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1 ล้านคน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันของสหรัฐฯ เริ่มเพิ่มสูงกว่าอิตาลี (968 vs 760 ราย) แต่ต่ำกว่าฝรั่งเศส (1,355 ราย) ทั้งนี้สถานการณ์ในสหรัฐฯ ตามหลังอิตาลีอยู่ราว 2 สัปดาห์ ทำให้คาดจะเห็นการติดเชื้อและเสียชีวิตที่เร่งตัวขึ้นมากดดันตลาด ขณะที่ในไทยยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 104 ราย ยอดรวม 1,875 ราย แม้สถานการณ์ดูสงบ แต่การเพิ่มระดับความเข้มงวดด้วยการประกาศเคอร์ฟิว และการเตรียมร.พ.สนามขนาดรวม 16,000 เตียง ทำให้ต้องระวังว่าอาจเห็นการเร่งตัวของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ (จากผลการแห่กลับตจว.ในตอนเริ่มประกาศ lockdown กทม.)

การฟื้นตัวอาจไม่ยั่งยื่นจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตามมา เมื่อ 24 มี.ค. เราคาดตลาดมีโอกาสฟื้นตัวในระดับ 200 จุด (1200-1250 จุด) จากผลของการอัดฉีดสภาพคล่องและการกระตุ้นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น อย่างไรก็ตามในระยะกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งผลประกอบการบจ.ที่จะชะลอตัวในในช่วงไตรมาส 1/63 และแย่สุดในช่วงไตรมาส 2/63 ดังนั้นนักลงทุนควรเตรียมรับมือกับภาวะดังกล่าวเมื่อดัชนีปรับเพิ่มขึ้น

ภาพรวมกลยุทธ์ ลุ้น 1187-1220 จุด ภาพรวมวางกลยุทธ์เก็งถึงแค่ก่อนงบออกและกำหนดจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง โดยขยับจุดตัดสินใจขึ้นมาเป็น 1115 จุด ต่ำกว่าระดับดังกล่าวชะลอการเก็งกำไร // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร PTTGC, CPF, BPP  / ทยอยสะสม ADVANC, CPALL*, THRE*, EGCO, RATCH, SCC

แนวรับ 1,084-1,102 / แนวต้าน : 1,127 จุด สัดส่วน : เงินสด 70% : พอร์ตหุ้น 30%

ประเด็นการลงทุน

จำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ - พุ่งขึ้นสู่ระดับ 6.6 ล้านราย ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.1 ล้านราย

บาท-รูเปีย อ่อนหนักสุด - ค่าเงินบาท และ รูเปีย ปรับอ่อนค่ามากสุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ท่ามกลางสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาด โดยเงินบาทรับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ขณะที่เงินรูเปียรับผลจากแรงขายพันธบัตรของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่สูงเป็นประวัติการณ์

เคอร์ฟิว คุม Covid-19 - รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามฝ่าฝืนออกจากเคหะสถานในเวลาที่กำหนดช่วง 4 ทุ่ม - ตี 4 เว้นแต่มีความจำเป็น กรณีฝ่าฝืน จำคุกไปไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท

หุ้น SET50 ที่แข็งแกร่งกว่าตลาด - เทียบจากราคาปิดในปัจจุบันสูงกว่าราคาปิด ณ ระดับดัชนีที่ใกล้เคียงกันในรอบการลงที่ผ่านมา (12 มี.ค. SET ปิด 1114.91 ขณะที่ปิดเมื่อวานที่ 1138.27 จุด) ได้แก่ PTTGC, PTT, DTAC, IRPC, BGRIM, ADVANC, TRUE, BJC, PTTEP, CPF, RATCH, SCC, GPSC, EGCO

ประเด็นติดตาม: 7 เม.ย. – US Redbook, 10 เม.ย. – US CPI เดือน มี.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)