เปิดถ้อยแถลงการณ์ 'นายกฯ' ย้ำประเทศไทยต้องชนะ

เปิดถ้อยแถลงการณ์ “นายกฯ” แจง 6 ข้อ ขอให้ทุกคน "ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด" ย้ำสู้ไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องชนะ

เมื่อวันที่ 2 เม..63 เวลา 18.00 . พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าพี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขอรายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ของศูนย์ฯ ดังนี้

ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นับว่าสำคัญที่สุดต่อสุขภาพ ของพวกเราทุกคน โดยเน้นมาตรการ "เว้นระยะห่างทางสังคม" หรือ Social Distancing และรณรงค์ให้ทุกคน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" รวมทั้งปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมอ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับความเร่งด่วนในการสนับสนุน หน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างทันกาล และทั่วถึง โรงพยาบาลในทุกพื้นที่ ผมถือว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ต้องมีระบบการกระจาย ที่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนไม่ได้ ซึ่งผมจะติดตามด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมหมอและพยาบาลที่เปรียบเสมือน "นักรบที่อยู่แนวหน้า" คอยต่อสู้ และสกัดกั้น ข้าศึกที่มองไม่เห็น ด้วยความเสียสละและอดทน ผมในฐานะ "แม่ทัพ" จะไม่ยอมให้กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลน ไม่ได้อย่างเด็ดขาด และต้องมีขวัญกำลังใจ ที่เข้มแข็ง อยู่เสมอ เพื่อมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้

ผมขอยืนยันว่า เรามี "ยา" ที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามได้นอกจากนั้นเรายังมีความพร้อม ในเรื่อง"เตียง"สำหรับผู้ป่วย โดยสามารถเพิ่มศักยภาพ จากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วย ที่อาจเพิ่มขึ้น / ขอให้เชื่อมั่นว่า "ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด" ทุกคน จะมีเตียงและยา ในการดูแลรักษาอาการป่วย ตามมาตรฐานสากล ทุกประการ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ รัฐบาลถือว่าเป็น "ผู้ป่วยฉุกเฉิน" ดังนั้น จะมี 3 กองทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้

ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง เรายึดหลัก "สุขภาพนำเสรีภาพ" โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จำกัดการเดินทาง - การเคลื่อนย้ายคน และจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาดต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่ จะออกมาตรการที่เข้มงวด สอดคล้องตามสถานการณ์ และคำแนะนำทางการแพทย์ ปัจจุบัน บางจังหวัด ได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้า และเวลาออกจากบ้านเพิ่มเติมแล้ว เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดให้ได้ ได้แก่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบาย เหมือนปกติบ้าง แต่เราทุกคนต้อง "ปรับตัว...เพื่อความอยู่รอด" ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เราจึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้

อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดและลดการสัญจรของพี่น้องประชาชนผมจะประกาศข้อกำหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือ "เคอร์ฟิว" ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็นหรือผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชน เพื่อเข้า-ออก เวรทำงานหรือการเดินทางมาจาก หรือไปท่าอากาศยานทั้งนี้ ให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ โดยจะเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน ซึ่งต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกและไม่ต้องกักตุนสินค้า เพราะท่านยังสามารถออกมาซื้อข้าวของในเวลากลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่อง"ระยะห่างทางสังคม" ด้วยนะครับ

ด้านการควบคุมสินค้า ผมได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า โดยขอย้ำว่า ผมจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุน หรือฉวยโอกาส หรือแสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกัน ในยามนี้ ที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนหาต้นตอของปัญหาตลอดสายการผลิต ตั้งแต่ต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง โดยสามารถจับกุมและเอาผิดผู้กระทำผิดไปแล้วหลายราย ซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรงทั้งนี้ การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ "สายด่วน บก.ปคบ.1135"

สำหรับ ด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระ และบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม และผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนสำหรับลูกจ้างรายวัน- อาชีพอิสระ -แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน การคืนเงินประกัน การใช้ไฟฟ้า และการใช้น้ำรวมทั้งลดค่าน้ำ - ค่าไฟ 3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือนซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังมีการพักชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ยเงินผ่อนบ้าน - ผ่อนรถ,ขยายเวลาชำระตั๋วจำนำและลดอัตราขั้นต่ำจ่ายหนี้บัตรเครดิต สำหรับประชาชนทั่วไปรวมทั้งแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วยที่ลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% และขยายเวลาให้ 3 เดือนส่วนผู้ประกอบการ และ SME รัฐบาลก็จะช่วยคืนสภาพคล่อง - ลดภาระค่าใช้จ่าย-บริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษีและการเงินอีกหลายมาตรการเพื่อทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย มั่นใจได้ว่า "เราไม่ทิ้งกัน"

ด้านการต่างประเทศ ศบค.ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดำเนินมาตรการการเดินทางเข้า-ออกประเทศ และการดูแลคนไทยในต่างประเทศโดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ อย่างเข้มงวดไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีกตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้วมีเพียงชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในไทย หรือลูกเรือเท่านั้นที่เดินทางเข้ามาได้สำหรับคนไทยในต่างแดนเราก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลาน ญาติพี่น้องของเราเหล่านั้นเราได้หาทางแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลกจะได้รับการดูแลหากต้องการกลับเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัว และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ต้องขอความร่วมมือให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 เมษายน เพื่อรักษาสุขภาพทั้งคนไทยในประเทศและท่านที่จะเดินทางกลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดระเบียบเตรียมการให้เหมาะสมหากมีความจำเป็นขอให้ไปพบเจ้าหน้าที่สถานฑูตหรือสถานกงสุล โดยทันที

สิ่งสำคัญอีกประการ คือด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤตเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจนไม่สับสนหรือสร้างความขัดแย้งศบค.จัดให้มีระบบการสื่อสารที่เป็น "เอกภาพ" ไปในทิศทางเดียวกันหรือ Single Voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสด ไปทั่วประเทศในทุกช่องทาง เป็นประจำ "ทุกวัน" หลังการประชุมในช่วงเช้าโดยโฆษกศูนย์ และผู้รับผิดชอบโดยตรง "เท่านั้น" งดเว้น และหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมายหรือเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์

"ผมขอให้สื่อมวลชนทุกสำนักรวมถึงสื่อโซเชียลใช้ความระมัดระวังในการสื่อสารโดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์นี้ เท่านั้นห้ามการสื่อสารที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งความเข้าใจผิด หรือบิดเบือนข้อมูลรวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอมหรือ Fake News และการส่งต่อข่าวปลอมทั้งที่ไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่มีผลต่อความมั่นคงก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างหนักดังนั้น เราจะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือไม่มั่นใจเราควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ อาทิตัวอย่างการปฏิบัติตนตามนโยบายของภาครัฐกิจกรรมจิตอาสา เป็นต้น"

ความประทับใจ ท่ามกลางวิกฤตนี้ผมและรัฐบาล ได้ระดมผู้มีความสามารถคนเก่งจิตอาสา จากวงการต่างๆทั้งด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสารและภาคธุรกิจอื่นๆมาร่วมหารือ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างรอบด้านผมขอขอบคุณ "จิตอาสา" ทุกท่านที่ไม่นิ่งดูดาย รวมพลังความรัก-ความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนไม่ว่าจะเป็นการร่วมบริจาคเงินสิ่งของ อาหารหรือการช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆเช่น การเขียนข้อความทำคลิป หรือทำป้ายให้กำลังใจกันและกัน "น้ำใจไทย" เช่นนี้เองจะช่วยให้ประเทศไทยของเรารอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้

ผลการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ข้างต้นอย่างเคร่งครัด ทำให้สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ไม่สูงถึงระดับของประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักทั้งนี้ เป้าหมายร่วมกันของเราคือ การขจัดโรคภัยและเชื้อร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดและทุกคนปลอดภัยดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาทเราจะต้องไม่ปล่อยให้มี "ผู้ป่วย - ผู้ติดเชื้อรายใหม่" และทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็น "ศูนย์" ให้ได้ เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างไม่ลดละ ต้องบังคับใช้มาตรการต่างๆอย่างเข้มงวด อย่างต่อเนื่องหากจำเป็น ก็จะต้องยกระดับใน "บางพื้นที่" ตามเหตุผลทางการแพทย์

"ผมขอย้ำว่า ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการแยกตัวอยู่บ้านเพื่อลดภาระของทีมแพทย์และพยาบาลที่เสียสละต่อสู้กันมานานหลายเดือนหาก "แนวหน้าเข้มแข็ง"และ "แนวหลังเข้มงวด" ประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน"

สุดท้ายนี้ ผมขอแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน และทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านทั่วประเทศ ที่อดทน เสียสละทุ่มเทแรงกาย-แรงใจในการดูแล ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความเสี่ยงภัยและความยากลำบากขอให้ท่านรับรู้ว่าทุกท่านเป็นบุคคลสำคัญในใจผมและคนไทยทุกคนและผมขอให้ทุกคนมั่นใจว่าผมจะทำทุกทางเพื่อที่จะนำพาประเทศของเราก้าวข้ามเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปให้ได้ อย่างมีสวัสดิภาพ อย่างพร้อมเพรียงกันขอให้พวกเรา...สู้ไปด้วยกัน นะครับ ประเทศไทยต้องชนะ