‘สรรพากร’หมุนภาษี2.8แสนล้าน เพิ่มสภาพคล่อง'ประคอง'เศรษฐกิจ

‘สรรพากร’หมุนภาษี2.8แสนล้าน  เพิ่มสภาพคล่อง'ประคอง'เศรษฐกิจ

หนึ่งในมาตรการทางการคลังที่เข้าไปช่วยดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) คือ​ มาตรการทางด้านภาษี​

วัตถุประสงค์หลัก​ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการ “เหลือเงินในกระเป๋า” ไว้จับจ่ายใช้สอย  และช่วยหมุนเวียนเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

 อธิบดีกรมสรรพากร​ เอกนิติ​ นิติทัณฑ์ประภาศ​ ระบุว่า​ มาตรการกรมสรรพากรชุดที่​ 1 และ​ ชุดที่​2 ในการดูแลผู้ที่ถูกกระทบจากโควิด-19​ เพื่อช่วยลดภาระ​ให้กลุ่มคนดังกล่าวมีสภาพคล่อง​มากขึ้น​ ประเมินคร่าวๆ​ ทั้งสองชุดที่ออกไป​ จะช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีสภาพคล่องในกระเป๋าไม่ต่ำกว่า​ 2.87 แสนล้านบาท​ เม็ดเงินนี้​ จะเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ            ทั้งนี้​ มาตรการที่ช่วยให้มีเงินเหลือในกระเป๋าผู้ประกอบการมากที่สุด คือ​ มาตรการยืดระยะเวลาการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล2 รอบ​ คือ​ รอบรายได้ปีที่แล้ว​ให้ยืดไปสิ้นเดือนส.ค. และรอบรายได้ครึ่งปีนี้ยืดไปถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้​ จะช่วยให้ผู้ประกอบการนิติบุคคลมีสภาพคล่องถึง​ 1.5​ แสนล้านบาท

 อีกมาตรการที่จะช่วยผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างมาก​ คือ​ มาตรการลดวงเงินหัก​ภาษี​ ณ​ ที่จ่าย​จาก​ 3% เหลือ​ 1.5% จาก​เม.ย.-ก.ย.นี้​ และ​ จากก.ย.- ธ.ค.หักในอัตรา​ 2% จะช่วยให้มีสภาพคล่องราว​ 8.6 หมื่นล้านบาท​ โดยเริ่มต้นในวันที่​ 1 เม.ย.นี้​ 

สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ซอฟท์โลนจากสถาบันการเงิน​ สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงถึง​ 1.5​ เท่า​  ส่วนรายที่ไม่เลิกจ้างแรงงาน สามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนได้ถึง​ 3 เท่า​ กรณีนี้​ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้​ เพราะยังไม่รู้ว่า​จะมีผู้ประกอบการรายใดคงสภาพการจ้างงานบ้าง แต่เท่าที่ประเมินขณะนี้​หลายธุรกิจเริ่มปิดตัวลง​ เช่น​ ธุรกิจโรงแรม​ เป็นต้น   

สำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น​ จะได้รับการยืดระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้​ ซึ่งมาตรการชุดที่​ 1 ได้ยืดจากสิ้นมี.ค.นี้​ เป็น​สิ้นมิ.ย.นี้​ ส่วนมาตรการชุดที่​ 2 ได้ยืดออกไป​เพราะสถานการณ์โควิด-19​ยืดเยื่อ​ โดยจะยืดไปถึงสิ้นส.ค.นี้​ มาตรการนี้​ จะช่วยให้ผู้มีรายได้บุคคลธรรมดามีเงินเหลือในกระเป๋าช่วงเวลาดังกล่าวราว​ 2.1​ หมื่นล้านบาท  

ขณะเดียวกัน​ สำหรับบุคคลธรรมดาในรายที่คาดจะได้รับคืนภาษี​ ทางกรมฯมีนโยบายให้มีการเร่งคืนภาษีให้เร็วขึ้น​ หรือ​ ภายใน​ 3 วันเมื่อหลักฐานครบ​ ทั้งนี้​ ที่ผ่านมา​ กรมฯได้คืนภาษีไปแล้วกว่า​ 2.5​ หมื่นล้านบาท​ หรือ​ 87% ของยอดที่ขอคืนภาษีกว่า​ 3 หมื่นล้านบาท

อีกมาตรการที่ช่วยลูกหนี้และเจ้าหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้​ โดยในส่วนลูกหนี้นั้น​ ภาระหนี้ที่ได้รับการลดหนี้​ จะไม่ถูกนำมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี​ ส่วนเจ้าหนี้นั้น​ หนี้สูญที่ปรับให้แก่ลูกหนี้สามารถนำมาเป็นรายจ่ายภาษีได้ทันที​ ขณะเดียวกัน​ การตีราคาทรัพย์เพื่อจำหน่ายเราจะยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะให้​ ทุกแนวทางดังกล่าวกรมฯจะสูญเสียรายได้หรือทำให้ประชาชนและผู้ประกอบมีเงินเหลือในกระเป๋าราว​ 2.4​ พันล้านบาท 

“มาตรการนี้​ จะช่วยทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้เลย​ กรณีลูกหนี้นั้น​ เมื่อได้รับลดหนี้แล้ว​ ตามปกติหนี้ที่ได้ลดมา​ เราจะให้เขานำมาคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี​  แต่เราจะยกเว้นให้เลย​ กรณีเจ้าหนี้นั้น​ เราจะช่วยเรื่องรายจ่ายให้​ โดยกรณีตัดหนี้สูญให้ลูกหนี้​ เขาจะต้องรอคำสั่งศาลตัดสินก่อนที่จะนำรายจ่ายดังกล่าวไปเป็นรายจ่ายภาษีได้​ กรณีนี้​ เราให้นำมาเป็นรายจ่ายได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งศาล​ ทั้งนี้​ จะช่วยกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ได้เร็วขึ้น” 

นอกจากนี้​ ยังมีมาตรการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับการทำเบี้ยประกันภัยสุขภาพจาก​ 1.5​ หมื่นบาท​ เป็น​ 2.5​ หมื่นบาท​มาตรการนี้เราจะให้ตลอดไปเลย​ ไม่ใช่เฉพาะปีนี้​ คาดสูญเสียรายได้​ 2.5​ พันล้านบาท​ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับค่าเสี่ยงภัยจะได้รับยกเว้นภาษีด้วย​